1
ภูคลาดขุนเขาเขียวขจีรายล้อมด้วยธรรมชาติพิศวง สัตว์ป่าและพรรณพืชล้วนแปลกหูแปลกตาคนปกติย่อมไม่คุ้นชินกับจำนวนและขนาดของพวกมัน
หมอกหนาปกคลุมทั่วอาณาบริเวณตลอดทั้งปี ละอองน้ำค้างเย็นเยียบดุจดั่งหยาดพิรุณเม็ดเล็กร่วงโรยโปรยปราย กิ่งไม้ใบหญ้าสีอำพันตัดสีเขียวมรกตเปล่งประกาย
กลิ่นหอมของบุปผาอบอวลเย้ายวนจมูกยวดยิ่ง บรรยากาศเงียบสงบเหมาะสมคู่ควรเป็นสถานที่ซุกซ่อนปกปิดความลับมากมายของใครบางคน ท่ามกลางหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ลึกลับซ่อนเร้นปรากฎกระท่อมกลางขุนเขาจำนวนสามหลังตั้งตระหง่าน
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่องคาพยพกร้าวแกร่งทั้งสาม เดินขนาบข้างเคียงคู่แหวกพงหญ้าสูงชันมุ่งตรงสู่ปลายทางกลับกระท่อมน้อยคอยใจอันเงียบสงบ
บุรุษทางด้านซ้ายมีไฝเสน่ห์ใต้กระบอกตาซ้าย ดวงตาประกายเจ้ากระล่อนกลิ้งกลอก บุรุษทางด้านขวาใบหน้าประดับรอยยิ้มยียวนเจือความโผงผางผ่าเผยตลอดเวลา ส่วนบุรุษกึ่งกลางปราศจากความรู้สึกบนใบหน้าหลงเหลือเพียงหัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปมไม่รู้คลาย
สามหนุ่มรูปโฉมโดดเด่นกลับมีจุดสนใจเปล่งประกายแตกต่างกันถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นนายพรานหนุ่มมากความสามารถ หลบหลีกความวุ่นวายยุ่งเหยิงในเมืองใหญ่มาอิงอาศัยอยู่กับธรรมชาติกลางหุบเขาลำเนาไพรที่พวกเขาบังเอิญเจอสถานที่ซุกซ่อนอำพรางกาย สถานที่ไร้ซึ่งทุกข์โศกขณะเดียวกันก็เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
ลานโล่งกว้างเชื่อมกระท่อมทั้งสามถูกนำมาเป็นสถานที่ชำแหละสัตว์ป่าเพื่อเตรียมสู่ขั้นตอนถนอมอาหารเพื่อกักเก็บเอาไว้ตุนเป็นเสบียงเมื่อถึงฤดูกาลผสมพันธุ์ของสัตว์ป่า ซึ่งเป็นกฎเหล็กข้อห้ามของนายพรานที่พวกเขาทั้งสามยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
“ใต้หล้าวันนี้เอ็งได้อะไรมา” ผืนดินเอ่ยถาม สายตาล่อกแล่กเหลือบมองสัตว์ตัวน้อยสีสันเงางามในกำมือเพื่อนสนิท ที่เอาแต่นอนแน่นิ่งไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
“......” ผู้ถูกตั้งคำถามเลิกคิ้ว ยกท่อนแขนข้างขวาชูร่างอ่อนระโหยโรยแรง เปลือกตาปิดสนิทชูขึ้นให้เพื่อนสนิทดูเต็มสองตา
“ตัวอะไรวะนั่น ดูไม่มีเนื้อไม่มีหนังจะอิ่มท้องรึ” เหนือมานเย้า ดวงตาสีดำหมึกเข้มข้นปรายหางตามองพลางขยับริมฝีปากยู่
“ข้าบอกพวกเอ็งแล้วว่าข้าได้ไก่ฟ้า พวกเอ็งมัวแต่ตื่นเต้นอยู่กับหมูป่าอยู่ได้” ใต้หล้ายักไหล่แสดงท่าทีไม่ยี่หระ
“ไก่ฟ้าบ้านเอ็งน่ะสิ นั่นมันนกยูง...” ผืนดินส่ายหน้าเอือมระอา ไก่ฟ้าส่วนมากที่พวกเขาพบเจอจะเป็นไก่ฟ้าพญาลอสีขนไม่ฉูดฉาดบาดตาเหมือนนกยูงเพศเมียตัวนี้ทำให้คนตาแหลมอย่างผืนดินสามารถแยกแยะระหว่างไก่ฟ้าพญาลอกับนกยูงขนเงางาม
“หืม...นกยูงจะเป็นไปได้ยังไงระแวกนี้ข้าไม่เคยเห็นฝูงนกยูงสักตัวหรือจะพลัดถิ่นหลงมา” ใต้หล้าหลุบสายตาลงต่ำมองสัตว์ตัวน้อยที่ถูกเขาจับมาได้ ฉับพลันสมองก็ปรากฎฉากภาพวาดนกยูงรำแพนบนฝาผนังวัดที่เขาเคยเห็นในอดีต มุมปากจึงยกยิ้มอ่อนโยนเป็นครั้งแรก
ทว่า...สิ่งที่เขาไม่รู้นั่นก็คือ มีเพียงนกยูงตัวผู้เท่านั้นจึงจะสามารถสยายขนรำแพนอวดอ้างความยิ่งใหญ่ และนกยูงเพศเมียสีสันฉูดฉาดบาดตาตนนี้ก็หาใช่นกยูงธรรมดาไร้พิษสง
“เอามาแลกกับเนื้อหมูป่าข้าไหมเล่า ข้าอยากเลี้ยงนกยูงไว้ดูเล่น” เหนือมานส่งสายตาจ้องนกยูงสาวตาเป็นประกายระยิบระยับ
“ข้าจะเลี้ยงไว้ในเล้าเป็ด” ใต้หล้าเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่เอ็งไม่มีเล้าเป็ด” เหนือมานแย้ง
“กำลังจะไปทำ”
“......”
ไม้ไผ่ลำท่อนอวบถูกนำมาเหลาสานประกอบเป็นเล้าเป็ดความสูงเกือบห้าเมตรกว้างขวางระบายอากาศดี ปิดโอกาสโฉบบินหลบหนีแน่นหนาทั้งบนล่างซ้ายขวา ประตูบานเล็กสำหรับเข้าและออกมีเพียงบานเดียว สามารถป้องกันลมหนาวและฝนได้เป็นอย่างดีก่อนจะปูพรมด้วยฟางแห้ง
อีกทั้งยังไม่ลืมขุดบ่อน้ำขนาดเล็กเอาไว้ให้นกยูงตัวน้อย เสียงค้อนตอกตะปูฝังไม้ปลุกร่างอ่อนระโหยโรยแรงบนแคร่ตัวยาวผงกศรีษระขึ้นมาดูเสียงวุ่นวายชวนรำคาญใจ สุ้มเสียงขยับตัวเพียงเล็กน้อยดึงความสนใจของใต้หล้าให้หันขวับกลับมามองสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เขาจับกลับมาได้
สายตามึนงงกวาดมองสถานที่แปลกตา…
“ตื่นแล้วหรอยังเจ็บอยู่หรือไม่” เสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
ทว่าในสายตานางเขาไม่ต่างอะไรจากเพชฒฆาตหน้ายิ้มตีสองหน้าแสดงด้านอ่อนโยนให้นางตายใจก่อนจะอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจปาดคอตนทิ้งแล้วดื่มกินเลือดเนื้อของนางอย่างเอร็ดอร่อย
“......” ประกายแววตาแข็งกร้าวสุดก้าวร้าวมองชายหนุ่มร่างกายกำยำเปลือยท่อนบนกำลังก้มโค้งตกแต่งสถานที่บางอย่างเบื้องหน้า
‘อะ...เอ็งขวัญกล้าถึงขนาดใช้เชือกล่ามขาข้าเชียวหรือ!’ พลับพลึงโกรธเกรี้ยวจนเนื้อตัวสั่นเทา เหลือบมองเชือกเกลียวผูกเป็นปมแน่นหนาบริเวณข้อเท้าเล็ก
ชายหนุ่มเห็นนกยูงสาวปิดปากสนิทร่างกายสั่นเทิ้ม จึงหลงเข้าใจผิดว่าสัตว์ตัวน้อยคงจะขยาดหวาดกลัวแปลกที่แปลกทาง จึงเอื้อมไปคว้าร่างขนเงาสง่าสีสันฉูดฉาดบาดตาขึ้นมาวางบนฟางแห้งที่เขาปูพรมเอาไว้จนนุ่มอุ่นในเล้าเป็ด พลับพลึงขยับศรีษระเล็กหนีห่างนึกรังเกียจแผงอกเปียกชื้นมีเม็ดเหงื่ออาบโซก
ทันทีที่ขยับตัวความเจ็บปวดรวดร้าวโลดแล่นจนร่างเล็กตัวแข็งทื่อบื้อใบ้แอบน้ำตาเล็ดอยู่ปรอยๆ นี่เป็นฝีมือใครไม่ใช่ฝีมือเขาหรอกหรือ!
“บ้านใหม่ของเอ็ง ข้าลงแรงกับทำกับมือเชียวชอบหรือไม่”
พลับพลึงมองตามสายตาเขา บ้านใหม่ที่บุรุษผู้นี้พูดถึงไยจึงมีรูปร่างคล้ายเล้าเป็ดเล่า อย่าบอกนะว่านี่คือบ้านของข้าที่เขาเอ่ยถึง! เหตุใดตัวข้าถึงซวยซ้ำซวยซ้อนอับโชควาสนาเพียงนี้หนอ!
‘ชอบกับผีน่ะสิ!’
‘มนุษย์โง่เขลาเบาปัญญามีตาแต่ไร้แววเหมือนอ้ายผู้นี้กันหมดเลยรึ?’
“......” สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ปกปิดไม่มิดเฉิดฉายให้เขาเห็นเต็มสองลูกกะตา
‘ยี๋ ให้ข้าอยู่อาศัยในเล้าเป็ด หากผู้คนในเกาะพานเร้นรู้เข้าคงได้หัวร่อข้าจนฟันแทบหลุดกระมัง! หนี! ข้าต้องหาทางหนีออกไปให้ไกลจากอ้ายผู้นี้ให้ได้’
สมองอันชาญฉลาดคอยคิดหาทางหนีทีไล่ แต่ว่าตอนนี้คงต้องพักรักษาตัวให้เรี่ยวแรงกำลังวังชากลับมาเป็นปกติดีเสียก่อน มิเช่นนั้นคงถูกมนุษย์ใจหยาบจับกลับมากักขังที่เล้าเป็ดแห่งนี้อีกเป็นแน่
โชคยังดีที่เป็นเล้าเป็ดสร้างใหม่หากเขายังฝืนยัดนางเข้าไปในเล้าเป็ดซอมซ่อมีกลิ่นมูล นางคงกลั้นหายใจตายให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสลัดความคิดยุ่งเหยิงทิ้งตัวลงนอนบนฟางแห้งระคายผิว ไม่สนใจน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่คอยชักชวนพูดคุยอีกต่อไป รอสักสองสามวันสังเกตการณ์แล้วค่อยโบยบินหนีก็สิ้นเรื่อง
“ข้าขอโทษที่ทำเอ็งบาดเจ็บ ความผิดนี้ข้าจะจำเอาไว้แล้วหาโอกาสไถ่ถอนความผิดให้เอ็งคราวหน้าก็แล้วกัน แต่เอ็งหนังเหนียวแท้เล่า…” ชายหนุ่มเห็นท่าทางเมินเฉยของนกยูงตัวน้อยจึงเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
‘เด็ดหัวเอ็งมากราบขอขมาข้าแล้วค่อยว่ากัน!’
ดวงอาทิตย์ทอแสงประกายส้มแสดสาดแสงรำไรตกกระทบเรือนเล้าหลังน้อย กลุ่มควันโขม่งจากกองเพลิงลอยคลุ้งพวยพุ่งตามกระแสลม เนื้อหมูป่าถูกหั่นชำแหละทาเกลือทั่วทั้งชิ้นก่อนจะนำมาย่างรมควันจนหยาดน้ำมันไหลย้อยหยดติ๊งลงสู่กองเพลิงบังเกิดเสียงประกายไฟแตกดังเปรี๊ยะเป็นระยะ
กลิ่นหอมลอยโชยแตะจมูกนกยูงสาวให้ลืมตาตื่นจากอาการนอนหลับยาวเนิ่นนานหลายชั่วโมง ดวงตากลมใสแวววาวมองลอดผ่านช่องว่างระหว่างไม้ออกไปทางด้านนอกจึงเห็นชายหนุ่มรูปร่างแข็งแกร่งสามคนกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟพูดคุยพลางกินดื่มกันอย่างสำราญใจ
แต่แล้วสายตาหลักแหลมพลันเหลือบไปเห็นเศษข้าวสารแข็งกระด้างถูกโปรยริมขอบบานประตูก็ยิ่งทำให้พลับพลึงหน้าบูดหน้าเบี้ยวเป็นปลาทูคอหักในเข่ง เสียงท้องร้องโครกครากเป็นหลักฐานชั้นเลิศว่าหญิงสาวไม่ได้ดื่มกินอาหารเกือบหนึ่งวันเต็ม ยิ่งได้กลิ่นอาหารลอยโชยตามกระแสลมก็ยิ่งทำให้นางหิวโหยจนหน้ามืดหน้ามัว
“ตัวเองกินเนื้อจนอิ่มหมีพีมันแต่จะให้ข้าจิกกินเพียงเศษข้าวสารเก่าๆ คิดว่าข้าเป็นไก่จริงๆ ไปแล้วหรือไร” พลับพลึงขมุบขมิบริมฝีปากบ่นพึมพำ อีกด้านก็ลองขยับเขยื้อนร่างเล็กที่อาศัยการนอนพักผ่อนฟื้นฟูเรี่ยวแรงกำลังวังชา
เมื่อเห็นว่าช่วงกลางลำตัวไม่จุกและเจ็บเหมือนช่วงแรกแล้วรอยยิ้มมีเลศนัยพลันผุดผาด จะว่าไปเจ้าลูกนั่นก็มีอานุภาพทำลายล้างใช่ย่อย มิเช่นนั้นคงไม่ทำเอานางเจ็บปวดจนตาเหลือกเสียกิริยาหญิงงามปานนี้
“เอ็งหลับเมื่อใดข้าจะเอาข้าวสารกรอกปากเอ็งให้อิ่มหนำสำราญเบิกบานใจเหมือนที่ทำกับข้าเชียวล่ะ!” พลับพลึงเค้นน้ำเสียงลอดไรฟันเอ่ย ไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำให้นางอัปยศอดสูเทียมเท่าอ้ายผู้นี้มาก่อน ทั้งคับแค้นและอับอายจนต้องหาวิธีระบายโทสะที่สุมอยู่ในอกจนธาตุไฟแทบจะแทรกแทนสติ
“ฮัดชิ่ว!” เสียงจามจนศรีษระสะเทือนเล่นเอาใต้หล้าถึงกับตั้งตัวไม่ทัน เขาคงไม่รู้ว่าเสียงพึมพำก่นด่าในเรือนเล้าหลังน้อยเป็นต้นเหตุของการจามในครั้งนี้
“เป็นอะไรของเอ็งเป็นหวัดหรือ เอาสมุนไพรของข้าไปต้มกินไหมข้าจะเอามาให้” ผืนดินโพล่งปากถามในทันที สองมือเช็ดชายกางเกงลวกๆ เตรียมพร้อมจะวิ่งหน้าตั้งไปคว้าสมุนไพรตัวใหม่ที่พึ่งค้นคว้าตำรับไม่นานมานี้ให้เพื่อนสนิทเป็นผู้ทดลองรายแรก
“ข้ายังไม่อยากตาย สมุนไพรเอ็งเคยรักษาโรคได้จริงรึ รอบที่แล้วก็เล่นเอาข้าท้องเสียไปหลายวัน ที่นี่ต้องการหมอยาแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นหมอยาได้ เอ็งมีพรแสวงแต่ขาดพรสวรรค์ตัดใจเสียเถิด” ใต้หล้าหน้าซีดยามนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น มือสากตบบ่าให้กำลังใจผืนดินเล็กน้อย
“ที่นี่ไม่มีหมอยาแต่จำเป็นต้องมี ข้าก็อุตส่าห์เสียสละศึกษาหาความรู้ เผื่อมีเหตุจำเป็นจะได้รักษาพวกเอ็งได้ พูดขนาดนี้ไม่ทำร้ายน้ำจิตน้ำใจข้าหน่อยหรือ!” ผืนดินกระโจนทับร่างกำยำที่กำลังฉีกเนื้อหมูป่าย่างกรุบกรอบจนเซถลา ท่าทางคลุ้มคลั่งเหมือนหมาบ้า
“น้ำจิตน้ำใจเอ็งพวกข้าขยาดหวาดกลัวยิ่ง! ข้าสาบานเลยว่าข้าไม่กล้าทำให้ตนเองเจ็บป่วยจนต้องไปพึ่งหยูกยาเอ็ง” เหนือมานหดศรีษระห่อไหล่ไม่เหลือบมองผืนดินอาละวาด ก่อนจะพยายามเบี่ยงเบนประเด็นดึงดูดความสนใจ
“เอ็งล่านกยูงได้ไม่เอานกยูงมาย่างกินเล่า มาแย่งหมูป่าข้ากินทำไม” เหนือมานหยอกเย้าใต้หล้า
“ข้าเลี้ยงไว้ดูเล่นไม่ได้เลี้ยงไว้กิน ทีเอ็งยังเลี้ยงนกเอี้ยงปากมาก ไยข้าจะเลี้ยงนกยูงบ้างไม่ได้ ที่นี่ออกจะเงียบเหงาเกินไปหน่อยไม่หาอะไรทำคงวิปลาสตายเข้าสักวัน ออกไปข้าหนัก!” ชายหนุ่มบ่นผืนดินที่ทำตัวเป็นเด็กไม่เลิก พูดความจริงทีไรก็สติแตก ครั้นจะไม่ให้พูดตามความจริงคนที่ทุกข์คงไม่แคล้วเป็นเขาที่ต้องทดลองตำรับยาใหม่ของเจ้าหมอนี่
นี่ช่างเป็นความหวังดีประสงค์ร้ายโดยแท้!
“ขี้เหนียวกับข้างั้นฤดูกาลผสมพันธุ์สัตว์ป่าคราหน้า เอ็งอย่ามาขอแบ่งเนื้อหมักที่ข้าเก็บไว้ก็แล้วกัน” ใต้หล้าออกแรงหยิบมือผลักร่างของสหายที่เอาแต่โถมทับร่างเขาราวกับต้องการบดบี้ให้แหลกสลายกลายเป็นผุยผง
“ก็ไม่ใช่ว่าเลี้ยงไม่ได้ เนื้อพวกนี้เอ็งก็กินให้มากหน่อยข้ากลัวเอ็งจะปวดท้องจนต้องไปอาศัยตำรับยาจากไอ้ผืนดินมันน่ะสิ” เหนือมานกลับคำประหนึ่งเรียวลิ้นมีสองแฉก มือไม้พัลวันยกไม้เสียบหมูป่าย่างยื่นมาประเคนมอบให้ใต้หล้าพร้อมน้ำเสียงประจบสอพลอ
“หึ...”
“กลับคำไวกว่าข้าอีก!” ผืนดินกลอกดวงตา
ฤดูกาลผสมพันธุ์สัตว์ป่าพวกเขาจำต้องงดออกล่าแล้วใช้ชีวิตประหนึ่งเป็นหมีจำศีลก็ไม่ปาน ทุกฤดูกาลเสบียงเนื้อสัตว์ที่พวกเขากักตุนเอาไว้ไม่เคยเพียงพอจึงคอยเบียดเบียนเสบียงกักตุนของใต้หล้าเป็นประจำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขากระเพาะใหญ่มูมมามหรือเจ้าหมอนี่กระเพาะเล็กกันแน่ถึงมีเนื้อแห้งให้คอยเจียดกินตลอดสามสี่เดือน
“ข้าอิ่มแล้วจะไปดูนกยูงน้อยของข้า” ชายหนุ่มลุกพรวดปัดเศษหินดินทรายตามเนื้อตัว สาวเท้ามุ่งตรงไปทางเรือนเล้าหลังน้อยในทันที
“ทำตัวเหมือนเด็กเห่อของเล่นใหม่!” ผืนดินค่อนขอด
“ก็ดีกว่ามันมีเวลามาคิดบัญชีที่เอ็งคิดจะใช้มันเป็นหนูทดลองยาตำรับใหม่” เหนือมานพูด ปากก็กัดฉีกเนื้อหมูป่าย่างเกรียมอีกครั้งกอบโกยความสงบสุขเบื้องหน้าให้ได้มากที่สุด
ในเรือนเล้าหลังน้อยร่างเล็กขยับปลายปีกขนงามสง่าสะบัดฉีกทึ้งเศษฟางแห้งที่คอยติดตามซอกขนสีเขียวประกายน้ำเงิน
ขาเล็กยกเกลี่ยเศษฟางที่ถูกชายหนุ่มผู้นั้นปูพรมเป็นที่นอนหนานุ่มอย่างดีสลับกับย่ำเหยียบกระทืบเท้าระบายโทสะ อากัปกิริยากระฟัดกระเฟียดแฝงความโมโหโทโสกลับกลายเป็นความน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาผู้คน
นางอยากจะแหกอกชายผู้นั้นจนแทบทนไม่ไหว!
สายตาคมกริบกวาดสายตามองนกยูงตัวน้อยนิสัยเสียจอมดื้อรั้นอาละวาดทำลายความสงบเรียบร้อยที่เขาพยายามมอบให้ ท่อนแขนกำยำยกกอดอกยืนมองนกยูงตัวนั้นเงียบเชียบไม่ยอมปริปากรอคอยให้อารมณ์พลุ่งพล่านหุนหันสงบนิ่ง จวบจนกระทั่งเห็นร่างสีฉูดฉาดบาดตาหย่อนสะโพกนั่งลงบนฟูกฟางแห้งจึงเอ่ยปากถามราวคาดหวังว่ามันจะตอบโต้พูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนนกเอี้ยงปากมากของเหนือมาน
“ไม่พอใจสิ่งใด?”
“ไม่พอใจเอ็งน่ะสิเจ้าโง่!” พลับพลึงตวาดตอบโต้อย่างลืมตัว ดวงตาใสเป็นประกายเบิกกว้างรีบสยายขนงามสง่ากระพือปีกขึ้นลงกลบเกลื่อนประโยควาจาของตน นางได้แต่พนมมือยกไหว้ย่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภาวนาขอร้องให้บุรุษผู้นี้หูตึงชั่วคราวด้วยเถิด
ซวยอีกแล้ว!
“เสียงแม่หญิง?” รูม่านตาใต้หล้าหดจนล้ำลึก ร่างกายเกร็งเหยียดหัวคิ้วขมวดมุ่น
ชั่วขณะเสียงหวานหยาดเยิ้มแว่วลอยปะทะโสตประสาทของใต้หล้าจนเขาบื้อใบ้ น้ำเสียงนั้นใสกระจ่างไพเราะเสนาะหูปลุกอารมณ์ของบุรุษวัยกลัดมันจนเขาขนลุกซู่ เขาเงี่ยหูฟังสุ้มเสียงนั้นอีกครากลับหลงเหลือเพียงน้ำเสียงของนกยูงน้อยที่พยายามเปล่งดึงดูดความสนใจ
“แกว้ก!”
“สงสัยหูจะฝาด”
นกยูงสีสันฉูดฉาดบาดตาพยายามโก่งลำคอเชิ่ดใบหน้าเย่อหยิ่งเดินวนไปเวียนมา ชำเลืองมองชายหนุ่มเป็นระยะ สายตาระแวดระวังป้องกันภัยครั้นเห็นเขาคลายความสงสัยลงจึงผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก เรื่องที่ควรจะฉลาดดันโง่งม เรื่องที่ควรจะโง่งมดันฉลาด นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ของคนผู้นี้ชักจะน่ากลัวขึ้นทุกที
“ทำไมไม่กินข้าวล่ะข้าอุตส่าห์โปรยเอาไว้ให้ตั้งเยอะ” ใต้หล้าเอ่ยถาม พลางบ่นพึมพำอยู่คนเดียวนานสองนาน สองมือสองไม้พยายามกวักเรียกนกยูงน้อยให้เดินมาจิกข้าวสารอย่างใจเย็น
“......” พลับพลึงปรายสายตาเย็นชามองชายหนุ่มปราดหนึ่ง ก่อนจะสะบัดศรีษระหันไปอีกทางเสมือนไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
‘ให้ข้าจิกกินข้าวสารเหมือนไก่ ข้าผูกคอตายใต้ขื่อง่ายกว่า สวรรค์ประทานใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์ให้เขาแต่ลืมยัดสมองใส่กระโหลกให้ด้วยรึ...’ นางค่อนขอดเขาในใจ ไม่ถูกชะตาอย่างแรง!
“......” ใต้หล้าหรี่หางตามองนกยูงสีฉูดฉาดบาดตาที่กำลังแสดงออกว่าเมินเขาหน้าตาเฉย เล่นเอาเส้นเลือดเหนือขมับเขาเต้นตุบตับ เขาไม่เคยรับมือนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของพวกสัตว์เลี้ยงมาก่อน
‘มองทำไมหน้าข้าเหมือนมารดาเอ็งหรือ!’