บทนำ
“แม่จ๋า แม่จ๋า อย่าเป็นอะไรนะอย่าตายนะแม่” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยสองพี่น้องดังขึ้นเมื่อจู่ ๆ มารดาที่นอนอยู่ข้าง ๆ เกิดร่างกายกระตุก ติดกันหลาย ๆ ครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
“แม่แม่ ฮื้อ ๆ” ทั้งสองผวาเข้ากอดมารดาด้วยน้ำตานองหน้า
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ โอ๋ ๆ ไม่เอาลูกมานี้ซิจ๊ะ” หญิงสาวชาวต่างชาติผู้มีใบหน้างดงามเดินตรงเข้ามาโอบประคองเด็กน้อยทั้งสองพร้อมกับเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน
“แม่ตายแล้วคะ แม่ตายแล้ว” สองเด็กน้อยคร่ำครวญอยู่ในอ้อมกอดของเธอ ก่อนที่คนคนในหมู่บ้านจะช่วยกันนำร่างอันไร้วิญญาณของมารดาไปบำเพ็ญกุศลที่วัด ท่ามกลางความเสียใจของญาติพี่น้อง
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม่ครูจะตายเร็วขนาดนี้ไหนหมอบอกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดาทำไมตายละ”
ชาวบ้านต่างก็แทบไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างแม่ครูจะมาด่วนจากไปถึงเพียงนี้ ผู้ใหญ่บ้านจึงเดินไปสอบถามคุณหมอประจำหมู่บ้านซึ่งก็ไม่สามารถตอบคำถามอันกังขานี้ได้เพราะตามที่เขาได้ตรวจรักษาแม่ครูก็ไม่ได้มีอาการหนักแต่อย่างใด
“เอ่อ...แม่ครูมีโรคประจำตัวอาการคงกำเริบกะทันหันผมเสียใจด้วยนะครับ” และนี้เป็นคำตอบสุดท้ายที่หมอได้ให้กับทุกคน
“ลูกสาวแม่ครูสองคนนี้ข้าจะรับไว้ดูแลเอง” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้นซึ่งชาวบ้านก็เห็นสมควร
“ขอโทษนะจ๊ะผู้ใหญ่ ดิฉันขอแสดงความคิดเห็นหน่อยผู้ใหญ่เองก็มีลูกตั้ง 6 คนวัยกำลังเรียนถ้ามาเลี้ยงอีกสองคนคงลำบากหน้าดู” หญิงสาวสวยเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มใจดี
“โอ้ยพวกเราอยู่กันแบบพอเพียงช่วยกันทำมาหากินไม่ลำบากหรอกคับมิส” ผู้ใหญ่โบกไม้โบกมือเป็นเชิงไม่มีปัญหา
“แต่เด็กสองคนนี้เป็นถึงลูกแม่ครูของพวกคุณพวกเขาต้องการการศึกษาต้องเรียนหนังสือแม่ครูเองก็คงไม่อยากให้ลูกๆ มาลำบากไร้การศึกษาหรอกนะขอโทษที่ฉันพูดตรง ๆ แบบนี้”
“แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรละพวกเราไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเด็ก2 คนนี้ไปเรียนสูง ๆ ในเมืองหรอกนะ” ผู้ใหญ่มีสีหน้าเป็นกังวล
“ฉันจะพาลูกสาวของแม่ครูไปอยู่ด้วยฉันจะให้การศึกษาให้ที่อยู่ให้มีความสุขสบายฉันกับสามีไม่มีลูกจะขอทั้งสองคนไปเป็นลูกบุญธรรมผู้ใหญ่จะว่าอย่างไร” ผู้ใหญ่ถึงกับอึ้งไปก่อนจะหันไปมองเด็กน้อยทั้งสองคนที่นั่งชิดติดกับมิสแมรีแอนนิ่ง
“เอ็งสองคนอยากไปไหม” ผู้ใหญ่บ้านหันไปถามเด็กน้อยทั้งสอง
“ไปอยู่กับแม่นะจ๊ะแม่จะดูแลพวกหนูเอง พวกหนูจะได้อยู่อย่างสบายได้เรียนหนังสือสูงๆ เหมือนที่แม่ของหนูหวังเอาไว้นะจ๊ะ” ด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยนแววตาที่แสนจะใจดีทำให้สองพี่น้องเกิดความลังเล
“บางทีถ้าขอความช่วยเหลือจากเทศบาลเขาก็คงจะให้ทุนเรียนนะถ้าเอ็งสองคนไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปข้าจะดูแลพวกเอ็งเอง” ผู้ใหญ่บ้านเองก็มีจิตเมตตาต่อสองพี่น้อง อย่างไรเสียก็เห็นกันมาตั้งแต่เกิด
“แต่ถ้าจะให้การศึกษาที่ดี สังคมที่ดีผู้ใหญ่ควรจะให้เด็กสองคนนี้ไปกับฉันพวกเขาจะมีอนาคตที่ดีกว่าอยู่ที่นี้” หญิงสาวยังคงโน้มน้าว ผู้ใหญ่บ้านหรี่ตามองมิชชันนารีต่างชาติอย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก
“ทำไมคุณอยากได้เด็กสองคนนี้หนักละมิส” เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ก็อย่างที่บอกฉันไม่มีลูกอีกอย่างแม่ครูก็เป็นคนดีตลอดเวลาที่ฉันมาอยู่ที่นี่ 3 เดือนเชียวนะแม่ครูคอยดูแลฉันให้ที่อยู่กับฉัน ฉันอยากตอบแทนบุญคุณแม่ครูบ้างเด็กสองคนนี้ก็เป็นเด็กดีฉันรู้สึกรักพวกเขาให้ทั้งสองไปอยู่กับฉันเถอะนะผู้ใหญ่” ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่มองมาของเธอแม้มันจะแสดงออกถึงความจริงใจแต่ผู้ใหญ่บ้านอย่างเขาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ทำไมมิชชั่นนารีผู้นี้ถึงจะไปจากที่นี่ทันทีที่แม่ครูตายล่ะ
“พวกเอ็งจะว่าอย่างไรจะไปไหม”
“พวกหนูแล้วแต่ผู้ใหญ่จ๊ะ” สองพี่น้องตอบก่อนจะก้มหน้าลง
“ผมขอคิดดูก่อนนะมิสแล้วก็อยากปรึกษากับคนที่นี้ก่อนมิสต้องเข้าใจว่าแม่ครูเป็นที่เคารพรักของพวกเราลูกสาวของแม่ครูพวกเราทุกคนเต็มใจและพร้อมจะดูแลและผมเชื่อว่าทาง เทศบาลเองเขาก็คงจะไม่นิ่งดูดายหรอก” ผู้ใหญ่ตอบก่อนจะเดินไปลูบศีรษะเด็กทั้งสองแล้วลงเรือนไป
รถตู้คันใหญ่กำลังแล่นออกจากหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางดึกสงัดของคืนหนึ่งเมื่อพ้นจากตัวหมู่บ้านความเร็วของรถก็เพิ่มขึ้นตามลำดับเด็กน้อยวัย 8 ขวบเศษและ 7 ขวบนอนหลับสนิทบนเบาะหลังรถโดยมีมิสแมรีแอนนั่งมองอยู่ด้วยแววตาที่แสนจะสะใจ
“ช่วยไม่ได้ใครอยากให้พวกแกลังเลล่ะหึ ๆ สินค้าชิ้นเอกของฉันจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงกัน ฮ่าๆ”