บ่ายวันนั้นหลังมื้อเที่ยงและเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่โต๊ะอาหารพี่บอยหยิบกุญแจรถออกมาจากลิ้นชักหน้าทีวี
นิรินชะงักเพราะไม่เคยเห็นพี่บอยขับรถยนต์เลยสักครั้ง
“พี่มีรถเหรอคะ?”
“มี…” เขาตอบเรียบ ๆ พร้อมยื่นหมวกให้
“แค่ชอบขี่วินมากกว่า เพราะมันไม่ต้องรอไฟแดง”
นิรินหัวเราะเบา ๆก่อนจะขึ้นรถไปกับเขา คนขับที่ยังนิ่งขรึมเหมือนเดิม
แต่เธอรู้ดีว่า...หัวใจเขานุ่มขึ้นทุกวันเมื่อมาถึงหอพักเก่า
นิรินมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องชั้นสามของตัวเอง
ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “ที่ซ่อนน้ำตา”
แต่วันนี้ เธอจะได้เดินออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่ต้องหลบอะไรอีกแล้ว
พี่บอยช่วยขนกล่องของ หนังสือ เสื้อผ้า และหม้อหุงข้าว
ทุกอย่างถูกวางอย่างเป็นระเบียบในท้ายรถ SUV ของเขา
เจ้าของหอเดินมาส่งหน้าห้องตรวจเช็กทุกมุมก่อนพยักหน้าอย่างพอใจ
“ห้องสะอาดดีค่ะ ไม่เสียของอะไรเลย”
“งั้นจะโอนค่ามัดจำคืนให้ 2,000 บาทนะคะ”
นิรินไหว้ขอบคุณรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก
เพราะแม้จำนวนเงินจะไม่มาก แต่ความรู้สึกคือ “จบแบบไม่ติดค้าง”
“หนูพร้อมเรียนแล้วค่ะพี่บอย” เธอบอกตอนขึ้นรถกลับ
“ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าห้อง ไม่ต้องคอยกลัวเสียงเคาะประตูตอนดึก ไม่ต้อง...ไปรับงานอะไรอีกแล้ว”
พี่บอยขับช้า ๆแต่ใจของเขากำลังเต้นแรงเขาไม่ได้พูดอะไร
เพียงแต่วางมือลงบนหลังมือของเธอที่วางอยู่บนเบรกมือ
และในจังหวะไฟแดงที่หยุดนิ่งเขาก็กดจูบลงเบา ๆ ที่หลังมือนั้น
“หนูไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ”
“เพราะต่อไปนี้ พี่จะอยู่ตรงนี้...ทุกวัน”
นิรินไม่ได้ตอบเธอเพียงแค่ยิ้มแล้วเอนหัวพิงกระจก อย่างคนที่รู้ว่า ไม่ต้องวิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว
หลังจากขนของเสร็จและได้จัดวางของในบ้านใหม่จนเรียบร้อย
ฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นส้มอมเทา
พี่บอยถอดเสื้อตัวเก่าไว้ในตะกร้าหน้าบ้าน ก่อนจะเดินมาหานิรินที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จ
“เปลี่ยนเสื้อเถอะ เดี๋ยวพี่จะพาออกไปกินข้าว”
“กินข้าวเหรอคะ?”
“ไม่ต้องลำบากพี่หรอก หนูทำไข่เจียวให้ก็ได้ค่ะ”
พี่บอยยกมือแตะหน้าผากเธอเบา ๆ
“วันนี้ไม่ให้แตะครัว”
“วันนี้หนูต้องเป็น ‘แขก’ ของพี่...สักมื้อ”
นิรินเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงเรียบง่ายสีครีมแค่ผมเปียข้างเดียวก็ทำให้เธอดูสดใสกว่าทุกวัน
รถยนต์คันเดิมพาเธอเลี้ยวเข้าสู่ถนนในเมือง
จนมาหยุดหน้าร้านอาหารกึ่งยุโรปเล็ก ๆ บรรยากาศอบอุ่นและดูดีแบบไม่อึดอัด
โต๊ะริมหน้าต่างถูกจองไว้แล้วมีแสงไฟจากโคมแก้วสาดลงบนจานสีขาวสะอาด
เมนูที่เสิร์ฟเป็นอาหารชุดง่าย ๆ
มีพาสต้าซอสครีม เบเกอรี่โฮมเมด และไวน์แดงเบา ๆ หนึ่งแก้ว (สำหรับนิรินที่ขอแค่จิบ)
“พี่เคยมากับใครมั้ยคะ?”
เธอถามขณะใช้ส้อมหมุนเส้นพาสต้าเบา ๆ
“ไม่เคย”
“เคยมานั่งรอเพื่อนแถวนี้เฉย ๆ แล้วก็เคยคิดว่า...ถ้ามีใครสักคนที่อยากพามา ก็คงจะเป็นแบบหนูเนี่ยแหละ”
นิรินอมยิ้มแล้วก้มหน้ากินต่ออย่างเขิน ๆแต่ในใจเธอ...กลับเต็มตื้น
เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร แต่มันคือความรู้สึกว่า
“เราไม่ได้ถูกซ่อนอีกต่อไป”
พนักงานเสิร์ฟขนมหวานจานเล็ก ๆ มาให้ปิดท้าย
เป็นพุดดิ้งนมราดซอสเบอร์รีสีเข้ม
พี่บอยตักคำเล็ก ๆ ส่งให้เธอ แล้วพูดเพียงว่า
“วันนี้ไม่ต้องคิดเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องอดีต”
“ให้มีแค่พี่ กับหนู กับของหวานนี่ก็พอ”
คืนนั้นบนรถขากลับนิรินเอนหัวพิงเบาะยิ้มทั้งที่หลับตา
และเสียงเพลงเบา ๆ ที่พี่บอยเปิดคลอตลอดทาง
ก็เหมือนกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้
“มันไม่ต้องดังก็ได้...แต่ขอแค่เปิดไว้นาน ๆ ก็พอแล้ว”
หลังกลับจากร้านอาหาร
นิรินใช้เวลาไม่นานในการจัดกระเป๋า
เสื้อผ้าไม่กี่ชุด หนังสือเรียนไม่กี่เล่ม และตุ๊กตาตัวเล็กที่เธอพกติดมาจากห้องเก่า
พี่บอยเดินเข้ามาเงียบ ๆ ขณะเธอวางแชมพูกับผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำ
มือใหญ่แตะแผ่นหลังเธอเบา ๆ พร้อมเสียงทุ้มแผ่ว
“หนูเหนื่อยไหม...วันนี้”
“ไม่ค่ะ แต่ร้อนหน่อย อยากแช่น้ำอุ่น”
เธอพูดแล้วส่งสายตา
ก่อนจะเอื้อมไปเปิดน้ำลงอ่างเองโดยไม่มองเขา
เสียงน้ำไหลช้า ๆ แต่ความเงียบระหว่างพวกเขากลับร้อนกว่าอุณหภูมิใด ๆ ในห้องนั้น
“จะเข้าไหมล่ะคะ...”
“หนูเปิดน้ำเผื่อแล้วนะ”
พี่บอยไม่ตอบด้วยคำพูดแต่เขาเดินเข้ามา
วางผ้าเช็ดตัวลงข้างอ่าง และโน้มตัวลงจูบที่ซอกคอของเธอ...ช้า ๆ
ราวกับอยากจดจำกลิ่นสบู่จากเรือนกายเธอให้ฝังแน่น
เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้นผิวเนื้อแตะต้องกันภายใต้แสงไฟสลัว
เสียงน้ำในอ่างสาดกระเพื่อมรับจังหวะมือที่กอดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
นิรินเอนตัวพิงอกพี่บอยมือของเขาลูบไล้จากแผ่นหลัง ลงถึงสะโพก
ก่อนที่เธอจะขยับตัวขึ้นช้า ๆ แล้วคร่อมบนตักของเขาในน้ำอุ่น
“พี่บอย...ใจเต้นแรงอีกแล้วนะ”
เธอกระซิบ แล้วเอื้อมมือไล้ผมเปียกของเขา
ริมฝีปากเล็กกดลงบนหน้าผากของชายที่วันนี้...ไม่มีอะไรต้องซ่อนอีกแล้ว
เสียงน้ำกระเพื่อมถี่ขึ้น
เมื่อเธอขยับเอวช้า ๆ บนตักเขา
มือเขาประคองเอวเธอแน่น สายตาเต็มไปด้วยแรงปรารถนาแต่ก็มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ทุกฝ่ามือ
“ช้า ๆ ก็ได้...ไม่ต้องรีบ”
“คืนนี้พี่มีเวลาให้หนูทั้งคืน”
นิรินยิ้ม
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องเร่งรีบเพื่อแลกอะไรอีกแล้ว
คืนนี้...เธอแค่ รักคนคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ในอ่างเดียวกัน
เพราะเขาไม่เคยมองเธอเป็น “งาน”
แต่เป็น “หัวใจ”