“เที่ยงนี้ผมไม่ว่าง มีนัดทานข้าวกับลูกค้า”เขาตอบด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง พลางแหวออกมาด้วยความกราดเกรี้ยว
“ลูกค้า! ผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วทำไมไม่บอกกับปลาว่าคุณจะมีนัดกับลูกค้าก่อน”
คิ้วสีเข้มของกษิดิศถึงกับกระตุก ใบหน้าเครียดขึ้นทันทีกับน้ำเสียงหวีดแหวเอาแต่ใจของคนรัก
“นี่ปลา! ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะมา ที่สำคัญที่นี่มันที่ทำงาน ใครมาหาผมก็ต้องมาติดต่อเรื่องงานกันทั้งนั้น ตอนนี้ก็วุ่นอยู่ ถ้าคุณไม่มีธุระที่สำคัญจริงๆ กลับไปรอที่บ้านเถอะ” ดวงตาคมกริบเข้มจัดเมื่อสบตาคนรักนิ่งๆ ทำเอาคนที่ไม่เคยโดนเอ็ดขนาดหนักจากคนรักเช่นนั้นถึงกับอึ้ง เงียบกริบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเปลี่ยนทีท่าจากแข็งกระด้างมาเป็นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“โธ่... ก็ปลาไม่รู้นี่คะ ดิศอย่าโกรธปลาเลยนะคะ ปลาแค่อยากชวนดิศทานข้าวด้วยกันเท่านั้น”เสียงอ่อนๆ ของปาริสาทำให้กษิดิศผ่อนลมหายใจ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“เที่ยงนี้ผมไม่ว่างจริงๆ”
“งั้นเย็นนี้ได้ไหมคะ ปลาอยากดื่มเล่นนิดหน่อยด้วย” ปาริสาไม่ยอมแพ้ ยังคงต่อรองต่อไป ทำเอาคนไม่มีแก่ใจจะไปไหนกับใครต้องผ่อนลมหายใจดังเฮือก ก่อนจะพยักหน้าอย่างตัดบท
“ก็ได้”
ปาริสาเบิกตากว้างอย่างยินดี รีบจูบแก้มสากๆ ของคนรักหนักๆ
“ดิศน่ารักที่สุด ถ้าอย่างนั้นปลาจะเลือกร้านไว้นะคะ แล้วตอนเย็นดิศช่วยไปรับปลาที่ห้องเสื้อยัยเปรมด้วยนะคะ”
กษิดิศนิ่วหน้า เขาไม่อยากพบหล่อนที่อื่น เพราะไม่ต้องการทำอะไรประเจิดประเจ้อนัก แต่หากปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ปาริสาคงจะไม่ยอมกลับไปแน่
“ตกลง คุณรออยู่ที่ร้านคุณเปรมแล้วกัน ผมเลิกงานแล้วจะรีบไปรับ”
“โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นปลาไม่อยู่กวนดิศแล้ว” ปาริสาก้มลงประทับริมฝีปากอุ่นหนักๆ อีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกจากห้อง โดยไม่ลืมหันมายิ้มหวานให้ก่อนไป แล้วเชิดหน้าผ่านเลขานุการหน้าห้องที่มองตามด้วยสายตาครุ่นคิด...
กษิดิศผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ความจริงเขาไม่มีนัดกับลูกค้าคนไหนทั้งนั้น แต่เวลานี้เขาไม่อยากออกไปไหนกับใคร เพราะใจของเขามันไม่รักดี คอยแต่จะคิดถึงอันธิตา ดวงตาคมกริบหลุบมองนาฬิกาข้อมือทันทีที่คิดถึงหญิงสาว ความกระตือรือร้นก็เข้ามาแทนที่ความเบื่อหน่าย เมื่อบอกตนเองว่าใกล้เที่ยงแล้ว...
เร็วเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาภรรยาโดยไม่ลังเล คนปลายสายที่กำลังนั่งทำงานอย่างตั้งใจขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ส่วนตัวมาดู แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครหญิงสาวก็ชะงัก หัวใจที่เพิ่งสงบกลับเต้นถี่รัวอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจกดตัดสายพร้อมกับก้มหน้าทำงานต่อไป
คนต้นสายขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะกดโทร.หาหญิงสาวซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ลดละ กระทั่งคนปลายสายเริ่มหัวเสียกับเสียงที่ดังขึ้นทำลายสมาธิยาวนานนั่น จึงจำใจรับโทรศัพท์จากชายหนุ่มพร้อมกรอกเสียงลงไปด้วยความหงุดหงิด
“พี่ดิศมีอะไรหรือเปล่าคะถึงโทร.มาไม่หยุดหย่อนแบบนี้น่ะ”
คำถามไร้เยื่อใยของอันธิตาทำให้คนที่คิดจะชวนออกไปรับประทานอาหารกลางวันถึงกับสะอึก เขานิ่งไปครู่หนึ่งด้วยพยายามข่มอารมณ์ก่อนจะตอบหญิงสาว
“เที่ยงนี้พี่จะไปรับอัน”
คนปลายสายเลิกคิ้วสูง พลางเอ่ยถามเสียงเรียบ
“รับทำไมคะ”
คำถามไร้เยื่อใยครั้งที่สองทำให้คนฟังเม้มปาก
“ทานข้าวเที่ยงกัน”
อันธิตาเบ้ยิ้ม แต่แววตาร้าวราน เมื่อคิดถึงคำพูดของปาริสาก่อนหน้า
“อย่าเลยค่ะ เชิญพี่ดิศกับคุณปาริสาตามสบาย อันไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอใคร”
สิ้นเสียงหวานแกมเหน็บแนมของภรรยากษิดิศก็ขมวดคิ้วมุ่น
“อันหมายความว่ายังไง ปลามาเกี่ยวอะไรด้วย” ถามพลางนิ่วหน้า รอคำตอบจากหญิงสาวด้วยความแปลกใจ หล่อนรู้ได้ยังไงว่าปาริสามาหาและชวนเขาออกไปรับประทานอาหารกลางวันก่อนหน้านี้...
อันธิตาส่ายหน้า หัวตาร้อนผ่าว ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรจากหล่อนอีก ที่ยอมทุกวันนี้ยังไม่พออีกใช่ไหม…
“เอาเป็นว่าพี่ดิศไม่ต้องมารับอันหรอกนะคะ เพราะอันคงไม่ออกไปข้างนอกกับพี่ดิศแน่ พอดีบอกเลขาฯให้สั่งอาหารมาทานบนห้องแล้ว ถ้าไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญกว่านี้ แค่นี้ก่อนนะคะ อันมีงานต้องรีบเคลียร์ สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวกดตัดสายแล้วกำโทรศัพท์แน่น ขณะที่คนต้นสายค่อยๆ ดึงโทรศัพท์มือถือออกมา เขาจ้องมันนิ่งนาน ก่อนจะผุดลุกจากเก้าอี้ เปิดประตูผลัวะจากห้องทำงาน ขณะที่เลขานุการสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายด้วยสายตาประหลาดใจ
“คุณแก้ว ผมจะออกไปข้างนอกนะ ถ้ามีอะไรเร่งด่วนโทร.เข้ามือถือได้เลย ส่วนเอกสารที่คุณเอาเข้าไปให้เซ็นเรียบร้อยหมดแล้ว ผมไปละ”
พูดจบร่างสูงก็ก้าวยาวๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เลขานุการสาวคนเดิมอ้าปากค้างเพราะไม่ทันจะเอ่ยปากถาม เจ้านายหนุ่มก็เดินตัวปลิวไปอย่างรวดเร็วราวกับรีบร้อน...
ชายหนุ่มขับรถตรงไปยังบริษัทของอันธิตาทันทีหลังจากวางสาย เขาไม่ยอมให้หล่อนปฏิเสธ ในเมื่อหล่อนไม่ต้องการออกไปกับเขา เขาจะเป็นฝ่ายไปหาหล่อนเอง อยากรู้นักว่าหล่อนจะยังปฏิเสธเขาได้อย่างไร...
ระหว่างที่กษิดิศเดินทางมาหาอันธิตา หญิงสาวได้ต้อนรับนักธุรกิจชาวต่างชาติแทนบิดา เลขานุการของหญิงสาวถึงกับห่อปากก่อนจะยิ้มหวานเมื่อนักธุรกิจในฝันคนนั้นก้าวมาหยุดตรงหน้า
“มาร์ค มาร์เวล” เลขานุการสาวทวนชื่อคู่ค้าคนล่าสุดของบริษัทแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กระวีกระวาดสั่งความแม่บ้านให้เตรียมเครื่องดื่ม ไม่นานนักห้องทำงานของอันธิตาก็ถูกเปิดออก เลขานุการสาวก้าวเข้าไปพร้อมเครื่องดื่มเย็นจัด ก่อนออกจากห้องไม่วายปรายตามองนักธุรกิจหนุ่มหล่อจนนายสาวที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นต้องอมยิ้มด้วยความขบขันเพราะรู้ใจเลขานุการสาวดี ว่าคลั่งไคล้มาร์คขนาดไหน แล้วหันไปคุยกับชายหนุ่มอีกครั้ง
“คุณมาร์คจะทานอาหารที่นี่หรือข้างนอกดีคะ” เนื่องจากชายหนุ่มได้ติดต่อกับบิดาของอันธิตามาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงทำให้คนทั้งสองมีความคุ้นเคยกันดี และชายหนุ่มเองก็ไม่เรื่องมากในเรื่องของอาหารการกิน
“ที่นี่ก็ได้ครับ เราจะได้ทานไปคุยไปด้วย ไม่ต้องเสียเวลาออกไปติดแหง็กกลางถนน” เขาบอกอย่างรู้จักเมืองหลวงของประเทศไทยดี หญิงสาวจึงยิ้มให้อีกฝ่าย มาร์คมองสาวสวยตรงหน้าด้วยแววตาที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตว่าเขากำลังเสียดายหล่อนแต่ไหน ที่ชิงตัดหน้าแต่งงานไปก่อนที่เขาจะได้ทำความรู้จักให้ดีกว่านี้ พลางถอนใจและตำหนิตนเองที่มาช้าไป รู้แบบนี้เขามาติดต่อแทนบิดาเสียตั้งแต่ทีแรกก็คงไม่พลาด...
หญิงสาวจึงกดเครื่องติดต่อสั่งความกับเลขานุการของตน พลางหันมาคุยเรื่องงานกับชายหนุ่ม มาร์คคุยเรื่องงานไป แต่ในใจคิดชื่นชม อันธิตาเป็นผู้หญิงที่เก่ง ฉลาด ไม่มีทีท่าขัดเขินหรือใช้ความสวยเป็นหนทางเพื่อทำให้การเจรจาธุรกิจง่ายขึ้น ทว่าหล่อนใช้ความสามารถล้วนๆ และเขาก็ต้องยอมรับว่าหญิงสาวมีความสามารถไม่แพ้กับผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาเลยสักนิด
“อันว่าเราทานข้าวกันก่อนดีกว่านะคะ นี่ก็เที่ยงนิดๆ แล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยเรื่องรายละเอียดกันต่อ”
“ก็ดีครับ” มาร์คกล่าว โดยมีอันธิตาคอยดูแลเขาแทนเลขานุการที่บอกให้ไปรับประทานอาหารเพราะเลยเที่ยงมาแล้ว ซึ่งทั้งสองรับประทานอาหารกันในห้องทำงานของหญิงสาวนั่นเอง
กษิดิศเดินทางมาถึงห้องทำงานของภรรยาก่อนที่เลขานุการสาวจะออกไปรับประทานอาหารไม่กี่นาที ฝ่ายนั้นหันมาเห็นร่างสมาร์ตปราดเปรียวของชายหนุ่มก็เลิกคิ้วสูง ทำตาโตก่อนจะหันไปยังห้องทำงานเมื่อฝ่ายนั้นทำท่าจะก้าวตรงเข้าไปภายใน
“เอ่อ เดี๋ยวค่ะคุณดิศ”