“ดิศ ปลาขอโทษนะคะที่โทร.มารบกวน แต่ปลาทนคิดถึงดิศไม่ไหวอีกแล้ว...” เสียงสะอื้นดังเข้ามาทำให้คนฟังใจแทบขาด กษิดิศผุดลุกจากเตียงกว้างตรงไปยังระเบียงห้อง ที่มองออกไปยังท้องทะเลด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ปลา อย่าร้องที่รัก ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ คุณเป็นยังไงบ้าง”
เขาถาม ทั้งที่รู้ดีว่าคนรักคงไม่สบายดีอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้หล่อนกำลังร้องไห้…
“ปลาเจ็บ ปลาปวด ดิศขา ปลาแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วที่ดิศต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ทำไมคะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้” ปาริสาร้องไห้หนักขึ้น ทำให้ชายหนุ่มร้อนใจ วูบหนึ่งเขาโกรธอันธิตา โกรธจนทำให้เขาหลุดปากออกไปว่า
“ปลา ผมจะไปหาปลาเอง!”
คนฟังชะงักงัน คิดว่าฟังผิด
“อะไรนะคะ เมื่อครู่ดิศว่าจะมาหาปลาใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ ผมจะไปหาปลา ปลารอผมนะ”
น้ำเสียงหนักแน่นของกษิดิศทำให้ปาริสายิ้มด้วยความยินดี แต่แล้วก็หุบยิ้มเมื่อคิดถึงผู้หญิงที่เป็นภรรยาของเขา
“แต่ดิศแต่งงานแล้วนะคะ เธอจะยอมให้ดิศมาได้ยังไง”
น้ำเสียงปลายสายสั่นขึ้นอีก ทำให้กษิดิศเม้มปาก แต่เพียงวูบเดียวเขาก็ยิ้มอ่อนโยน เมื่อคิดว่าอันธิตาจะไม่ว่าอะไรเขา หล่อนต้องเข้าใจ
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก อันเขาเข้าใจดี”
คนฟังขมวดคิ้วมุ่น เลิกร้องไห้ไปแล้ว
“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมให้สามีตัวเองมาหาผู้หญิงอื่นหรอกนะคะ” บอกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย กษิดิศรู้ดี แต่ไม่ใช่กับอันธิตา ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเมีย แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มาขัดขวางเขาไว้ได้อย่างแน่นอน
“ปลาไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกนะ รอผม แล้วผมจะไปหาคุณ”
ปาริสามีความหวังขึ้นอีกครั้ง แน่นอนหล่อนต้องการเขากลับคืน ผู้ชายแสนดีที่หล่อนเกือบปล่อยเขาหลุดมือไป ทุกคนบอกว่าหล่อนโง่ยิ่งกว่าอะไรที่ไม่จับเขาไว้ให้แน่น หล่อนเองก็คิดเช่นนั้น แต่เวลานี้หล่อนไม่คิดว่าตัวเองโง่อีกต่อไป ตราบใดที่เขายังรักและปรารถนาหล่อนเสียขนาดนี้ อีกไม่นานหล่อนจะได้พบกับเขาอีกครั้ง และคราวนี้หล่อนจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งเขาไปได้อีก แม้กระทั่งผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมีย!
กษิดิศนั่งอยู่หน้าบ้านร่วมชั่วโมงอันธิตาจึงกลับเข้ามา หญิงสาวยิ้มให้เขานิดหนึ่ง คล้ายกับว่าต้องฝืน
“ไปเดินเล่นมาเหรออัน” เขาทักเมื่อร่างบางเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวตรงข้าม
“ค่ะ เดินดูไปเรื่อยๆ ที่นี่สงบดีนะคะ” ดวงตากลมโตสบตาสามีอย่างค้นคว้า และเห็นบางอย่างในนั้น ความกระวนกระวายใจบางอย่างที่ชัดเจนออกมาจนรู้สึกได้“พี่ดิศมีอะไรหรือเปล่าคะ”
คนถูกถามชะงักไปนิด ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วตัดสินใจบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดจากก่อนหน้านี้ลิบลับ
“อันจะว่าอะไรไหม ถ้าพี่จะขอไปต่างประเทศสักสามสี่วัน” คำถามของเขาทำเอาอันธิตานิ่งเงียบ ริมฝีปากที่ปิดสนิทเมื่อครู่เผยอออกนิดๆ ท่าทางนิ่งงันคล้ายตกใจของภรรยาทำให้ชายหนุ่มรีบบอก
“พี่จะกลับมาก่อนวันอาทิตย์ จะไม่ให้ใครมองอันไม่ดี”
อันธิตาเม้มปาก หัวใจอ่อนล้าลงทันใด เมื่อคิดว่าเขารังเกียจหล่อนจนไม่อยากอยู่ร่วมบ้านเดียวกันเลยหรืออย่างไร
“พี่ดิศจะไปไหนคะ” ดวงตาคู่สวยที่มีแววรื้นขึ้นในดวงตาเมื่อครู่หายไป เหลือเพียงความเรียบเฉยและต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากปากของเขา...
กษิดิศผ่อนลมหายใจ รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมานั้นเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน มันไม่ถูกต้องนัก แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ ในเมื่อคนรักของเขากำลังร้องไห้และเจ็บปวดเจียนตายอย่างนั้น แต่สำหรับหล่อนคงไม่เป็นอะไรมากนัก...
“พี่จะไปอเมริกา”
คำตอบจากเขาทำให้หัวใจของหญิงสาวกระตุกวาบ ดวงตาไหววาบ ใบหน้างามเผือดลงก่อนจะรีบปรับให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว และคิดถึงคนรักของเขาที่อยู่ที่นั่น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านอาบทั่วหัวใจ และอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ไม่มีทีท่าว่าจะจางหายได้ในระยะสั้น...
“พี่ดิศจะไปหาเธอหรือคะ” คำถามและดวงตาคู่สวยที่มองมาตรงๆ ทำให้กษิดิศเกิดความละอายใจขึ้นวูบหนึ่ง ดวงตาสีเข้มหลุบต่ำก่อนจะปัดความรู้สึกนั้นทิ้งแล้วสบตาหล่อนอีกครั้งพร้อมคำตอบ
“ใช่ ตอนนี้เธอกำลังเสียใจมาก อันเข้าใจพี่นะ” เขาขยับเข้ามานั่งใกล้ กุมมือหล่อนเอาไว้พลางสบตา วอนให้หล่อนเห็นใจเขา อันธิตานิ่งงัน อยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด...
“ได้สิคะ” กษิดิศยิ้มออกมาทันที
“ขอบใจนะอัน พี่คิดอยู่แล้วว่าอันจะต้องเข้าใจพี่” เขาขอบคุณหญิงสาวพลางคิดว่าหล่อนพูดง่ายกว่าที่คิด ทว่าเขากำลังเข้าใจผิด และได้รู้ในเวลาต่อมาเมื่ออันธิตาบอกพร้อมรอยยิ้มที่มักใช้ในเวลาที่ต้องฟาดฟันกับนักธุรกิจเขี้ยวลากดินทั้งหลายว่า
“แต่อันต้องไปด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้น อันคงให้พี่ไปไม่ได้”
คำตอบที่ออกมาจากเรียวปากรูปกระจับและรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้กษิดิศปล่อยมือเรียวข้างนั้นแทบทันที ดวงตาสีเข้มจ้องเข้าไปในแววตาคู่สวย ที่เวลานี้ไม่ได้อ่อนแอหรือเศร้าหมองอีกต่อไป และบอกตนเองว่าเขาไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้ของอันธิตาเลย หล่อนคิดว่าเขาเป็นใคร คู่ต่อสู้ทางธุรกิจอย่างนั้นหรือ ถึงต้องสวมหน้ากากนักธุรกิจหญิงที่ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำต่อกลเกมและเล่ห์เหลี่ยมของผู้ใดอย่างที่เห็นขณะนี้
“อันก็รู้ว่าพี่ทำแบบนั้นไม่ได้” เขากล่าวออกมาในที่สุด รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าคมเข้ม ถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิด ตรงข้ามกับอันธิตาที่ยิ้มมากขึ้น เป็นยิ้มที่เขาไม่ชอบเลยสักนิดเดียว
“ถ้าอย่างนั้นพี่ดิศก็ไม่ควรจะไปหาเธอเช่นกันค่ะ จริงๆ เรื่องแบบนี้พี่ดิศควรจะรู้ดีกว่าอัน ว่าไม่ควรทำ เราเพิ่งแต่งงานกัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรากำลังฮันนีมูน แล้วพี่ดิศจะทิ้งอันไปหาใครก็ไม่รู้”
“เธอเป็นคนรักของพี่!”
คำตอบดังฟังชัดทำให้หญิงสาวสะท้านในอก แน่นอนสิ! หล่อนรู้ดี ไม่ต้องย้ำก็จำขึ้นใจอยู่แล้ว
“อันทราบ แต่อันก็ให้ไปนี่คะ แค่พี่ดิศยอมให้อันไปด้วย ดีเสียอีกใครๆ จะได้คิดว่าพี่ดิศรักอันมากเสียจนต้องพาอันไปเที่ยวที่ไกลๆ แบบนั้น ไหนๆ เราก็คิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์มากกว่าหัวใจมาแต่แรก ทำไมไม่ลองทำให้ใครๆ เข้าใจว่าเรารักกันแทบตายล่ะคะ เช่นว่าเอาใจอันมากๆ ทำว่ารักอันเสียเหลือเกิน แล้วทีนี้พี่ดิศอยากจะไปหาใครที่ไหนก็คงไม่มีใครสงสัยได้หรอกค่ะ แบบนี้ดีไหมคะ”
แววตาแข็งๆ และรอยยิ้มหวานๆ ไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย แต่คำพูดของหล่อนก็ทำให้เขาคล้อยตามได้ไม่ยาก ทว่าเวลาถัดมาเขาก็หรี่ตามองคนตรงหน้า คิดหรือว่าหล่อนจะฉลาดไปกว่าเขา คิดหรือว่าจะควบคุมเขาได้ ไม่มีทาง แต่เขาจะเล่นตามเกมที่หล่อนวางเอาไว้ก็ได้ ดูสิ ใครจะแน่กว่าใคร!
“เป็นความคิดที่ดี” เขาตอบ ใบหน้าเรียบสนิท ขณะที่อันธิตายิ้มทั้งปากและตา แต่ในใจกลับปวดร้าวเกินจะอธิบาย
“แสดงว่าพี่ดิศตกลง”
“ใช่ พี่ตกลง แต่มีข้อแม้”
คราวนี้อันธิตาเป็นฝ่ายต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบบ้าง
“อะไรล่ะคะ”
“ระหว่างที่พี่ไปพบกับปลา อันจะไม่มีสิทธิ์ยุ่งวุ่นวายกับพี่”
ใจสาวปวดแปลบ ยิ้มขื่นๆ แล้วพยักหน้า
“ตกลงค่ะ พี่ดิศไม่ต้องกลัวว่าอันจะทำตัวเป็นผู้หญิงไร้ยางอายแบบนั้นหรอกค่ะ”กษิดิศสะอึกขณะที่อันธิตาสบตาเขาไปตรงๆ
“อันรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร พี่ดิศถึงจะเห็นใจอันบ้าง...”
จบประโยค ร่างบางก็ผุดลุกจากเก้าอี้ ทว่าดวงตาไม่คลาดจากใบหน้าคมเข้มที่ทำให้หล่อนตกหลุมรักเขานับแต่ครั้งแรกที่พบกัน ทว่าเขาไม่ใช่อย่างที่หล่อนฝันเอาไว้เลยสักนิด
“ลุกขึ้นสิคะ ขืนชักช้าจะมีเวลาอยู่กับคนที่พี่รักน้อยลงไปอีกนะคะ ถ้าไม่รีบไปกันเดี๋ยวนี้”
หล่อนเตือนเมื่อเขานั่งนิ่งราวถูกสะกด ก่อนหมุนตัวกลับขึ้นห้อง ทิ้งให้ร่างสูงนั่งเงียบอยู่ที่เดิม และเริ่มคิดว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปนั้นมันดีแล้วหรือแย่ที่สุดกันแน่...
แล้วเสียงหวานเศร้าที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ก็ดังขึ้นในความคิดอีกครั้งว่า...
“อันรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร พี่ดิศถึงจะเห็นใจอันบ้าง...”