นามิที่กำลังวิ่งด้วยความรีบร้อนเพราะตอนนี้เธอกำลังจะเข้าเรียนสายแล้ว แต่ไม่รู้เพราะความรีบร้อนหรือความเผอเรอของเธอก็ไม่รู้ทำให้เธอวิ่งไปชนกับคนตรงหน้าอย่างจังจนทำให้หงายหลังเกือบล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นถ้าไม่มีอ้อมแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายโอบตัวเธอไว้
“ว๊าย!!!/เห้ย!!!”
หลังหายจากอาการตกใจนามิก็รีบพูดพร้อมกับมองหน้าคนที่เธอเดินชนด้วยความไม่ตั้งใจแต่ก็ต้องชะงักค้างเพราะความหล่อและแววตาอบอุ่นที่กำลังมองมาที่เธอ มันกลับสร้างความแปลกใจให้เธออย่างมาก เขาไม่โกรธที่เธอเดินไม่ดูทางแต่กลับดูเหมือนเป็นห่วงเป็นใยเธอทั้งที่เธอผิดเต็มประตู
“เอ่อ ขอโทษค่ะ”
“เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่าคะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยและก็ต้องขอโทษอีกครั้งด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่จะรีบไปไหน”
“จริงด้วย!!! ขอตัวก่อนนะคะ” นามิที่ได้ฟังคำพูดของคนตรงหน้าก็ต้องตกใจอีกรอบก่อนจะก้มหัวให้เขาแล้วรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็ว เพราะตอนนี้เธอเข้าเรียนสายแล้วโดนอาจารย์ดุแน่เลย
“หึ น่ารัก” โปรดเค้นเสียงในลำคออย่างชอบใจยืนมองตามคนที่เดินชนเขาที่วิ่งจากไปด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้า เขาจำเธอได้เธอคือผู้หญิงที่เขาเจอที่โรงอาหารขเมื่อวันก่อน แต่วันนั้นเธอทำหน้านิ่ง ๆ ต่างจากวันนี้ที่เขาได้เห็นใบหน้าที่ต่างไปของเธอ
นามิทิ้งตัวเอาหน้าซบลงกับโต๊ะทันทีหลังอาจารย์เดินออกจากห้องไป จนทำให้อายที่มองอยู่ยิ้มและอดจะแซวไม่ได้
“นามิ เหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แกลองวิ่งมาแล้วโดนอาจารย์โทษดูบ้างสิ จะได้รู้ว่าเหนื่อยไหม”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ไม่ดีกว่า ว่าแต่ทำไมนามิมาสายได้” อายมองนามิด้วยสายตาสงสัยปกตินามิเป็นคนไม่เคยมาเรียนสายเลยสักครั้งแต่วันนี้กลับมาสายซึ่งมันผิดวิสัยของนามิสุด ๆ
“เมื่อเช้ารถแม่เสียกะทันหันนะ นามิเลยต้องมารถเมย์ถึงได้สายอย่างที่เห็นนั่นแหละ” นามิลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่เธอต้องมาเรียนสาย ปกติทุกวันแม่เธอจะขับรถมาส่งที่หน้ามหาลัยแล้วเธอจะนั่งรถรางของมหาลัยเข้าคณะอีกทีบางทีก็เดิน
“อ้าวเหรอ!? แล้วนี่รถเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน ต้องรอกลับบ้านก่อนถึงจะรู้” รถที่แม่เธอใช้เป็นรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ที่เอาไว้สำหรับใช้วิ่งซื้อของเข้าร้าน ถ้าเกิดรถมาเสียแบบนี้ที่ร้านคงวุ่นวายน่าดู ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงแม่ เธอรู้ว่าแม่เหนื่อยมากแค่ไหนที่ต้องทำงานคนเดียวเพื่อหาเงินส่งเสียเธอเรียน
แล้วเสียงพูดคุยของนักศึกษาทุกคนรวมถึงนามิและอายด้วยก็หยุดลงเมื่ออาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาในห้อง ทำให้นามิเองก็ต้องหยุดความคิดเรื่องอื่นเพื่อหันมาตั้งใจฟังอาจารย์บรรยาย
“แม่ขา” นามิร้องเรียกรวิกาเสียงดังทันทีที่เปิดประตูร้านเข้ามา เธอสอดส่ายสายตามองหารวิกาแต่กลับไม่เห็นทำให้นามิหน้ามุ่ยทันทีก่อนจะหันไปถามหวานผู้ช่วยของแม่
“พี่หวานแม่นามิอยู่ไหนคะ”
“เห็นคุยโทรศัพท์อยู่หลังร้านนะ”
“ขอบคุณค่ะพี่หวาน” นามิรีบเดินตรงไปหารวิกาที่หลังร้านทันทีเพราะเธออยากรู้เรื่องรถที่เสียว่าซ่อมได้ไหม พอนามิมาถึงก็เห็นรวิกากำลังยืนคุยโทรศัพท์เธอเลยเลือกที่จะเดินไปนั่งรอให้รวิกาคุยโทรศัพท์ให้เสร็จก่อน
“อ้าว!? นามิกลับมาแล้วเหรอลูก เหนื่อยไหม”
“ไม่เลยค่ะ แล้วช่างว่ายังไงบ้างเรื่องรถ”
“ประมาณสองวันถึงจะเสร็จนะลูก ช่วงนี้หนูคงต้องลำบากหน่อยเวลาไปมหาลัย” รวิกาเดินเข้ามาลูบผมนามิด้วยความรักความเอ็นดู เพราะนามิคือกำลังใจและดวงใจของเธอ
“แค่นี้สบายมากค่ะ ว่าแต่แม่เอารถไปซ่อมไว้ที่ร้านไหนคะ”
“แม่ก็ไม่แน่ใจ”
“อ้าว!? ไหงงั้นคะ” นามิคิ้วขมวดทันทีหลังได้ฟังคำตอบที่ชวนงุนงงสงสัย เอารถไปซ่อมแต่แม่เธอดันบอกว่าไม่แน่ใจว่าร้านอยู่ไหนแบบนี้หมายความว่ายังไง
“พอดีเมื่อเช้ามีคนใจดีเข้ามาช่วยดูรถให้แม่นะ แต่มันซ่อมตรงนั้นไม่ได้เขาเลยให้คนที่อู่เอารถมายกรถเรากลับไปซ่อมให้น่ะ”
“แล้วแม่ไม่ได้ตามไปด้วยเหรอคะ แล้วคนที่มาช่วยเป็นใคร ไว้ใจได้ไหม เขาจะเอารถเราไปขายหรือเปล่า แล้ว....”
“ใจเย็นก่อนนามิ หนูจะถามแม่เป็นชุดแบบนี้ไม่ได้” เมื่อเจอลูกสาวสุดที่รักรัวคำถามใส่เป็นชุดรวิกาต้องรีบพูดห้ามแทบไม่ทัน
“ก็นามิอยากรู้นี่ค่ะ”
“ฮึฮึ แม่จะตอบทีละคำถามนะ หนูจะได้หายคล่องใจ”
“ค่ะ”
“แม่ไม่ได้ตามที่อู่ด้วยและคนที่มาช่วยแม่ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใครแต่ดูจากที่เขาซ่อมรถเบื้องต้นให้แล้วแม่ว่าเขาเป็นช่างแน่นอนจ้ะ อีกอย่างรถเราก็ไม่ใช่รถใหม่แถมยังเสียอีกเขาจะเอาไปขายได้สักเท่าไหร่กันเชียว” รวิกาตอบคำถามลูกสาวของตัวเองด้วยรอยยิ้มอย่างใจเย็นต่างกับนามิที่ดูเหมือนจะยังสงสัยไม่เลิก
“อู่เขาอยู่ที่ไหนเผื่อนามิจะไปดูว่ารถเราอยู่ดีไหม แล้วเมื่อเช้าแม่กลับร้านยังไงคะ”
“คนที่มาช่วยเขามาส่งแม่ที่ร้านจ้ะ”
“เขาไว้ใจได้เหรอคะ ไม่ใช่พวกหวังจะมาหลอกเราใช่ไหม”
“หึ คิดมากนะเราเนี่ย เดี๋ยวอีกสองวันแม่จะพาหนูไปรับรถกับแม่ด้วยก็แล้วกันหนูจะได้สบายใจ ดีไหม”
“ดีค่ะ ว่าแต่คนที่มาช่วยแม่นี่แก่หรือหนุ่มคะ”
“ถามทำไม!?”
“ก็นามิอยากรู้นี่คะ” ใช่แล้วก็เธออยากรู้ว่าคนที่มาช่วยแม่เธอนั่นแก่หรือหนุ่มเพราะถ้าเป็นหนุ่มใหญ่อาจจะมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างเช่นมาจีบแม่ของเธอก็เป็นไปได้ แม่เธอถึงจะอายุเข้าเลขสี่แต่ก็ยังสวยและดูเด็กกว่าวัยทุกวันนี้ก็มีหนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบไม่เว้นแต่ละวัน
“น่าจะรุ่น ๆ เดียวกับหนูนี่แหละลูก เพราะแม่เห็นเขาใส่ชุดนักศึกษา” คนที่ช่วยเธอซ่อมรถเมื่อเช้านั่นยังดูเด็กน่าจะแก่กว่าลูกสาวเธอไม่กี่ปีเพราะใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกัน แต่ท่าทางในการซ่อมรถดูชำนาญไม่เงอะงะสักนิด
“แล้ว...”
“พอแล้วนามิ แม่ว่าหนูไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่าไหม กลับมาเหนื่อย ๆ จะได้สดชื่น แล้วนี่แม่ก็ต้องไปช่วยหวานที่หน้าร้านแล้ว” รวิกาพูดตัดบทนามิออกมาเมื่อเห็นว่าลูกสาวของเธอยังมีคำถามอีกร้อยแปดที่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องรถและเรื่องช่างซ่อม
“ก็ได้ค่ะ”