ตอนที่ 4...

2819 Words
“ตกได้ ตกดี ตกเก่งเหลือเกิน ตกไม่เกรงใจท่อระบายน้ำเลย น้ำขังหมดแล้ว” ลลดาบ่นออกเสียง วันนี้วันดี เพราะลูกค้าในคราบพี่ชายเหมาทั้งคืน เท่ากับว่าเมื่อลูกค้ากลับแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องกลับเข้าไปตู้กระจกอีกครั้ง แต่ฝนฟ้าแทนที่จะเป็นใจให้ได้กลับหอพักแบบตัวแห้ง ๆ บ้าง น้ำจากฟ้ากลับรินไหลลงมาไม่น้อยหน้าเมื่อคืนเลย “พูดกับผมหรือเปล่าครับ” “อุ้ย!” เธอสะดุ้ง นี่ไม่ใช่เวลาที่หลังร้านจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน การที่โสตประสาทได้ยินเสียงใครบางคนจึงเป็นเรื่องไม่คาดคิด “พูดกับผมหรือเปล่าครับ” “เปล่าค่ะ เปล่า ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดค่ะ” ลลดายกมือไหว้ มือไม้อ่อน เพราะคนที่ถามคำถามเดิมถึงสองครั้งไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นพศวัตนั่นเอง “ไม่เป็นไรครับ แล้วนี่... เลิกงานแล้วเหรอ” เขาถามพร้อมจับแขนลลดาเพื่อดึงตัวเธอให้ห่างจากชายหลังคา ทว่าเพียงปลายนิ้วสัมผัส เธอกลับชักแขนหลบในทันที “ค่ะ ลูกค้าเหมา แต่เขามีธุระด่วน เลยกลับไปแล้วค่ะ” “แล้วนี่กลับยังไงครับ มีรถแท็กซี่ประจำหรือเปล่า” พศวัตถามด้วยคำถามแสนธรรมดา เด็กในร้านเลิกงานไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืน แต่ละคนล้วนมีแท็กซี่เจ้าประจำคอยส่งกลับที่พัก แต่สำหรับลลดาผู้ยังอ่อนต่อโลกโลกี เธอไม่รู้ว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย “หนูกลับเองค่ะ” “กลับเอง?” “ค่ะ พอดี... หนูเพิ่งทำงานได้อาทิตย์เดียวค่ะ” เธอไหวตัวทัน คิดว่าเหตุผลนี้น่าจะทำให้เขาหายข้องใจว่าทำไมต้องกลับเอง แต่ตอนนี้ ทำไมเขายังไม่เลิกมอง เอาแต่จ้องหน้าจนเธอเริ่มประหม่าแล้วนะ “เมื่อวานคุณเดินชนผมใช่ไหม” “...ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ค่ะ” “ผมอยากไปส่ง” “อะไรนะคะ!” ลลดาตกใจ เม็ดฝนตกกระทบหลังคาดังเกินไป เลยได้ยินผิดหรือเปล่า “ผมจะจอดรถรอที่หน้าเซเว่น ทะเบียนรถ กก 999” พศวัตพูดจบก็ฝ่าฝนออกจากไปจากใต้หลังคา ทิ้งให้ลลดายืนอ้าปากค้าง ทว่าเมื่อสติกลับคืนมา เธอก็โทรศัพท์ไปหาพลาธิปอย่างรวดเร็ว “พี่ธิป!” “ว่าไงหลิง” “คุณวัตจะไปส่งหลิง เขาบอกว่าอยากไปส่ง” “อะไรนะ!” “เขาจะไปส่งหลิง เขาจะจอดรถรอที่หน้าเซเว่น!” “หลิงก็ไปสิ” “เฮ้ย! จะไปได้ไง ถ้าเค้าข่มขืนหลิงล่ะ” “ไม่ต้องห่วง หลิงให้มันไปส่งที่หอ เดี๋ยวพี่จะส่งคนไปเฝ้า ถ้ามันจะขึ้นไปด้วย คนของพี่จะเข้าไปช่วยหลิงเอง” “แล้วถ้าเขาพาหลิงไปที่อื่นล่ะ หลิงจะทำยังไง” “ไม่ต้องห่วง อย่าปิดโทรศัพท์ก็พอ พี่จะจับสัญญาณว่ามันพาหลิงไปไหน โอเคไหม” “ไม่โอเค” ลลดาส่ายหัว เดินวนไป วนมา ไม่กล้าก้าวขาไปยังสถานที่นัดหมายสักที “เชื่อใจพี่ พี่ไม่ปล่อยให้หลิงเป็นอะไรเด็ดขาด” “หลิงไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นอะ หลิงทำอะไรไม่ถูกแล้วนะพี่ธิป” “หลิง... ยืนเฉย ๆ แล้วฟังพี่” พลาธิปรู้ว่าต้องจัดการกับคนที่กำลังว้าวุ่นยังไง เขาบอกให้เธอหยุดเดิน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา “ถ้าหลิงอยากช่วยลุงยศ อยากช่วยพ่อใช้หนี้ อยากเลิกเป็นสายสืบเร็ว ๆ หลิงต้องไปกับพศวัต และจำไว้ว่าพี่จะไม่ปล่อยให้มันทำร้ายหลิงเด็ดขาด โอเคไหมหลิง” “โอเคก็โอเคค่ะ” เธอจำใจตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ปากเอ่ยบอกทะเบียนรถเขาก่อนจะวางสาย และเดินไปยังสถานที่นัดหมาย เมื่อเขาเห็นเธอผ่านกระจกมองหลัง กระจกรถก็ถูกลดระดับ เป็นสัญญาณให้เธอขึ้นมา ลลดาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เจ้านายทั้งสองคนสั่งอะไรก็ต้องทำ และจำเอาไว้หลิง... ตอนนี้เราคือผู้หญิงขายบริการ แต่ยังเตือนตัวเองได้ไม่ทันไร ตัวก็เอนไปด้านหลัง จมูกกั้นหายใจ เมื่อพศวัตเอื้อมมือมาช่วยคาดเข็มขัดนิรภัย “ไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน เพิ่งจะสี่ทุ่ม ยังไม่ง่วงใช่ไหม” “ไม่ง่วงค่ะ” ลลดาส่ายหัว ยืนยันให้เขารู้ว่าตอนนี้กระปรี้กระเปร่าสุด ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยค่ะ และเธอไม่ลืมสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด หลังจากขาดออกซิเจนไปหลายวินาที แต่นี่ผ่านมาสักพักแล้ว ทำไมใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะปกติ ยังตื่นเต้นและหวาดกลัวที่ได้ใกล้ชิดกับเป้าหมาย หนำซ้ำยังอึดอัดที่เขาส่งยิ้มมาให้ด้วย ไหน... ใครบอกว่าเขายิ้มไม่เป็น... โกหกกันได้ไงเนี่ย... “อยากกินอะไรครับ” “แล้วแต่คุณวัตเลยค่ะ หนูกินอะไรก็ได้” เขาพยักหน้าเข้าใจ กินอะไรก็ได้ เพราะเกรงใจที่จะเลือก และที่ยิ้มเมื่อครู่ ไม่ได้ยิ้มโปรยเสน่ห์แต่อย่างใด แต่ยิ้มเพราะมั่นใจแล้วว่าเด็กใหม่ของร้านนั้นอ่อนประสบการณ์ในการทำงานมากจริง ๆ มีอย่างที่ไหน... ไม่ออดอ้อนลูกค้า มีอย่างที่ไหน... แค่จับแขนก็สะดุ้ง มีอย่างที่ไหน... แกล้งเอาตัวเข้าใกล้ก็ถอยหนี และมีอย่างที่ไหน... นั่งตัวแข็งเป็นรูปปั้น เหมือนไม่เคยไปไหนกับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสอง “ชื่ออะไรนะครับ” “หลิงค่ะ” ลลดาตอบคำถามพศวัต เมื่อเขาขับรถพาเธอมาไกลจากที่อาบ อบ นวดพอสมควร ร้านที่เขาเลือกทานอาหารมื้อดึกนั้นบรรยากาศดีเกินบรรยาย มันตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรู ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่จะดีกว่านี้มาก หากลมเย็นน้อยลงสักหน่อย อากาศหลังฝนตกหนักกับการอยู่บนที่สูงใจกลางเมือง ไม่ต่างจากอยู่บนดอยเลย “มาทำงานนานหรือยัง” พศวัตถามแม้จะรู้อยู่แล้ว “ไม่นานค่ะ วันนี้ทำงานเป็นวันที่แปด” เธอส่งยิ้มน้อย ๆ ปิดท้าย เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ คุณครูสอนมาว่า ทิ้งท้ายคำพูดด้วยรอยยิ้มบ้าง สบตาสักสอง สามวินาทีบ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราอยากคุยด้วยนะ แต่เราเขินอายที่จะถาม คุณชวนฉันคุยหน่อยสิ “ทำไมถึงได้มาทำงานแบบนี้” เขาถามพร้อมจิบเบียร์เย็น ๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยที่สายตาไม่หยุดมองคู่สนทนาเลยแม้แต่วินาทีเดียว “หนูจำเป็นต้องใช้เงินค่ะ” “ใครแนะนำให้มาทำงาน” “รุ่นพี่ค่ะ เธอเคยทำงานที่ร้าน” ลลดาตอบตามข้อมูลที่เคยซักซ้อมกับตำรวจ พยายามทำตัวให้ผ่อนคลาย ทำใจให้สงบสยบพศวัต แต่ทำได้ยากเหลือเกินเพราะไม่กล้าสบตาเขานานเกินสามวินาที ยิ่งมองนานก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งตื่นเต้นก็ยิ่งกลัวถูกจับได้ ไหนจะท่าทีของเขาที่แสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่าเมื่อครู่ไม่ใช่คำถามสุดท้ายที่จะออกจากปากในคืนนี้ “มีใครเคยบอกหรือยังว่าผมไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนในร้าน” “มีคนบอกแล้วค่ะ” “แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าผมแหกกฎตัวเองทำไม” “อยากรู้... แต่ไม่กล้าถามค่ะ” เขากระตุกยิ้มพอใจ เมื่อได้ยินคำตอบตรงไปตรงมาของลลดา “ผมแหกกฎ เพราะผมสงสัยว่าผู้หญิงที่ตกใจเวลาถูกผู้ชายเข้าใกล้ ทำไมลูกค้าถึงชมนักชมหนาว่าทำงานดี” เธอแกล้งเขินอาย แต่ก็ยิ้มพอใจในความสามารถของตัวเองที่ไม่มีอยู่จริง พี่ตำรวจคงแต่งเรื่องขึ้นอย่างเวอร์วังอลังการ “เมื่อค่ำผมเห็นคุณไม่โอบเอวลูกค้าเดินขึ้นห้อง นี่ไม่ใช่นิสัยของคนที่หาเงินจากการเอาใจผู้ชาย ถ้าคุณให้เหตุผลว่าเพราะเพิ่งทำงานนี้ไม่นานเลยยังเขินอายอยู่บ้าง ผมก็คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล ผู้หญิงที่กล้าใช้ร่างกายแลกเงินและตัดสินใจทำงานแบบนี้ ไม่ใช่คนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่กับคุณ... เด็กใหม่ที่ผมจะดึงตัวเข้ามาหลบฝน แค่มือผมโดนแขนคุณก็สะดุ้ง ผมเลยมีข้อสงสัยเต็มไปหมด” ลลดาได้ยินที่เขาพูดทุกคำ แต่ไม่ตอบอะไรกลับไป แกล้งจิบน้ำ พร้อมคิดหาข้ออ้างหักล้างข้อสังเกตของพศวัตที่วิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง แต่ยังไม่ทันจะคิดคำแก้ตัวออก คำถามที่เอ่ยออกมาพร้อมแววตาห่วงใย กลับทำให้เธอรู้สึกโล่งใจเหลือเกิน “คุณถูกลูกค้าทำร้ายหรือเปล่า มีใครใช้ความรุนแรงจนคุณหวาดกลัวผู้ชายใช่ไหม” “เปล่าค่ะ ไม่มีใครทำอะไรหนูเลย” เธอรีบปฏิเสธ ใครจะทำร้ายเล่า เข้าห้องไปก็แยกย้ายคนละมุม จะมีก็แต่เสี่ยโจ้นั่นแหละที่ทำเอาใจหายใจคว่ำ แต่ดีที่แกล้งท้องเสียเสียก่อนเลยรอดมาได้ “ไม่มีใครทำอะไรเลย?” คำนี้สะดุดหู จนแก้วเบียร์ที่กำลังจะยกดื่ม ถูกถือค้างเอาไว้ “หนูหมายถึง ไม่มีใครทำให้หนูกลัวหรือบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจค่ะ” “แล้วไป... ผมไม่ต้องการให้ใครตกนรก” “หมายความว่ายังไงเหรอคะ” แววตาใสซื่อเต็มไปด้วยความสงสัย เธอมองไปยังเจ้าของอาบ อบ นวดที่ใคร ๆ ต่างบอกว่าเขาพูดน้อย แต่ตั้งแต่ก้นหย่อนลงบนเก้าอี้ในร้านอาหาร เขาพูดแทบไม่หยุดเลย “ธุรกิจอาบ อบ นวดเป็นธุรกิจสีเทา ใคร ๆ ก็เรียกแบบนี้ รู้ใช่ไหม” “ค่ะ” “แต่ผมกับหุ้นส่วนของร้านอีกคน เราไม่ได้เปิดที่นี่เพื่อทำให้ใครได้รับความทุกข์ทรมาน ไม่ได้อยากให้ชีวิตพวกเขามืดมน ทั้งลูกค้าและเด็กในร้านต้องได้รับแต่สิ่งดี ๆ คนซื้อได้ความสุข คนขายได้เงิน และทุกคนในร้านต่างเป็นคนที่ผมต้องดูแลเอาใจใส่ เพราะผมได้ส่วนแบ่งจากการลงทุนลงแรงขายเรือนร่างจากผู้หญิงที่สังคมตีหน้าว่าไม่มีศักดิ์ศรี คำพูดคนทำให้เจ็บใจมากพอแล้ว ผมไม่อยากให้ใครต้องเจ็บตัวเพราะถูกทารุณ มันเป็นการทำร้ายจิตใจพวกเธอเข้าไปอีก เซ็กซ์ควรเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างยินยอมพร้อมใจ ไม่ควรมีใครถูกบังคับหรือใช้ความรุนแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจ” ลลดาคลี่ยิ้ม ได้ยินแล้วปลื้มใจแทนพี่ ๆ ที่ทำงานอย่างตั้งใจ เพราะนอกจากต้องพลีกาย ยังต้องถูกนินทาว่าร้ายอยู่เสมอ หากรู้ว่าเจ้าของสถานที่ที่พวกเธอใช้เป็นแหล่งทำมาหากินใส่ใจมากขนาดนี้ พวกเธอคงดีใจไม่น้อย “ยิ้มอะไรครับ” “คะ?” “ยิ้มอะไรครับ” พศวัตทวนคำถาม แม้แสงไฟไม่ได้ส่องไสว แต่ก็สว่างมากพอให้เห็นว่าคนตรงข้ามมองกลับมาพร้อมรอยยิ้ม... ยิ้มที่เป็นธรรมชาติที่สุดตั้งแต่อยู่ด้วยกัน “เมื่อกี้แอบปลื้มที่มีเจ้านายใจดี แต่ไม่รู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาค่ะ” “ผมไม่ได้ใจดีหรอก” “ใจดีสิคะ คุณวัตไม่จำเป็นต้องห่วงใครเลยด้วยซ้ำ” “คุณหมายถึง... ผมแค่รอรับเงินอย่างเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจใครใช่ไหม” “คุณวัตรู้เหรอคะว่าหนูคิดอะไรอยู่” “รู้ แต่ผมเข้าใจนะ คุณไม่รู้จักผม คุณก็ต้องตัดสินผมจากคำบอกเล่าของคนอื่นอยู่แล้ว และคงไม่ค่อยมีคนชมผมให้คุณฟังเท่าไหร่หรอก จริงไหม” ลลดายิ้มอาย ๆ ถูกจับได้ว่ามองเขาเป็นคนหน้าเงิน... แต่ใคร ๆ ก็พูดแบบนี้นิ เด็กใหม่อย่างเธอก็ต้องคล้อยตามคำบอกเล่าบ้าง บางคนก็พูดว่าที่เขามอบร้านนี้ให้ทีปกรดูแลเป็นหลัก เพราะรังเกียจผู้หญิงขายบริการ ที่ลงขันร่วมทุนก็เพราะได้เงินดี บางคนก็พูดว่าที่เขามาอาบ อบ นวดแค่อาทิตย์ละครั้ง เพราะเขากลัวชื่อเสียงจะด่างพร้อย จนกระทบธุรกิจอื่น ๆ ของตัวเอง “ถ้าไม่นับหน้าตาที่ใคร ๆ ก็บอกว่าคุณวัตหล่อ คุณวัตก็เข้าใจถูกแล้วค่ะ หนูเลยแปลกใจที่ได้ยินว่าคุณเป็นห่วงเด็กในร้าน แต่เท่าที่ได้คุยกันตอนนี้ คุณวัตใจดี ไม่เหมือนที่คนอื่นพูดเลยนะคะ” ลลดาพูดเอาใจ แกล้งชมเพราะยังไม่ลืมว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร ก่อนจะตบท้ายการจับผมยาวไปไว้ด้านหลัง เรียกง่าย ๆ ว่าแอบอ่อยด้วยการเปิดต้นคอให้เขามอง แหม... ร้ายกาจใช่ย่อยนะเธอ “เขาชมว่าผมหล่อเหรอ” “ค่ะ” “แล้วคุณเห็นด้วยไหม” เมื่อสิ้นคำถาม พศวัตก็เอนหลังพิงเก้าอี้ สองแขนยกกอดอก พร้อมวาดขาไขว้ห้าง มองหญิงสาวที่ถูกตาต้องใจอย่างรอคำตอบ ทว่าอีกฝ่ายกลับหลบตา ก้มหน้ามองตักตัวเอง พร้อมกับใจที่เต้นเร็วเกินจำเป็น ใช่... เขาหล่อ แม้จะไม่ได้หน้าตาดีเข้าขั้นพระเอกละคร แต่ทุกอย่างบนใบหน้านั้นดึงดูดให้จ้องมองและละสายตาได้ยาก ไม่เช่นนั้นลลดาคงไม่เงยหน้ามามองเขาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว “คุณมีความจำเป็นอะไรถึงต้องมาทำงานแบบนี้” พศวัตไม่รอคำตอบ ไม่ได้หลงตัวเอง แต่ท่าทีของเธอเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้ว่าผลลัพธ์ของคำถามคืออะไร “ที่บ้านมีหนี้ค่ะ” “มีหนี้เท่าไหร่” “แปดล้านค่ะ” “หนี้มาจากไหน” “พอดี... พ่อติดพนันค่ะ ไปยืมเงิน และก็เอาบ้านเอาจำนอง” “เป็นหนี้เจ้าหนี้ แล้วก็เป็นหนี้ธนาคารด้วยงั้นเหรอ” “ค่ะ กับธนาคารยังพอเจรจาขอผ่อนผันการชำระหนี้ได้ แต่กับคนที่พ่อไปกู้เงินมา เขาไม่ใจดีแล้วค่ะ” “เงินต้นกับดอกเบี้ยที่ไม่เกี่ยวกับบ้านรวมแล้วเป็นเท่าไหร่” “ประมาณสี่ล้านค่ะ” “คุณมีส่วนร่วมในการสร้างหนี้ก้อนนี้ไหม” “ไม่ค่ะ” ลลดาทำหน้าเศร้าให้เขาเห็นใจ เป็นคำสั่งของพลาธิปที่ว่า... ถ้าหากมีโอกาสใกล้ชิด จงตีสนิทให้ได้ชิดใกล้มากกว่าเดิม เธอจึงใช้วิธีนี้เรียกคะแนนสงสาร แม้ว่าใจจริงละอายเหลือเกินที่ต้องเปิดเผยปัญหาครอบครัว “คุณส่งตัวเองเรียนด้วยใช่ไหม เมื่อคืนตอนเดินชนกัน ผมเห็นว่าในกระเป๋าคุณมีหนังสือเรียน” “ค่ะ ปีนี้ปีสุดท้ายแล้ว แต่เพิ่งเรียนเทอมแรกค่ะ” เป็นอีกครั้งที่ตอบไปยิ้มไป ชอบจังที่เขาเหมือนจะรู้ว่าไม่อยากคุยเรื่องครอบครัว “กลางวันเรียน กลางคืนทำงาน เอาเวลาไปนอน” พศวัตได้โอกาสก็ถามคำถามที่สงสัยตั้งแต่เมื่อคืน “นอนช่วงหลังเลิกงานถึงสาย ๆ ค่ะ หนูเน้นลงทะเบียนเรียนเฉพาะช่วงบ่าย ถ้าวันไหนมีเรียนเช้าก็จะพยายามเลิกงานไม่เกินตีสองค่ะ” “เหนื่อยไหม” ลลดาน้ำตาคลอ เป็นคำถามสั้น ๆ แต่ไม่เคยมีใครถาม แม้แต่พ่อก็ไม่เคยเลย... “ไม่เหนื่อยค่ะ หนูต้องรีบหาเงิน เพราะเทอมหน้าต้องฝึกงาน คงมาทำงานแบบนี้ไม่ได้แล้ว” เขาเลื่อนจานสลัดที่พนักงานยกมาเสิร์ฟไปให้ลลดา และไม่ถามอะไรอีกนอกจากพูดคุยกันเรื่องรสชาติอาหาร เพราะเมื่อครู่สังเกตเห็นว่าเธอตื้นตันกับคำถามที่ว่า ‘เหนื่อยไหม’ มากเพียงใด เลยไม่อยากสะกิดต่อมเศร้าในจิตใจ เธอคงจะแบกรับอะไรไว้บนไหล่เล็ก ๆ นี้หลายอย่าง เมื่ออิ่มหนำสำราญก็ขับรถพาเธอมาส่งที่หอพัก “ค่าเช่าเดือนละกี่บาท” พศวัตถามโดยที่ตัวลงมายืนมองอาคารสูงสิบชั้น ที่ซึ่งเป็นหอพักใกล้มหาวิทยาลัยของลลดา โดยรอบก็ไม่ต่างจากหอพักทั่วไป ด้านล่างมีเครื่องซักผ้าและตู้กดน้ำดื่มตั้งเรียงราย ตรงประตูทางเข้ามีพนักงานรักษาความปลอดภัยนั่งหน้าง่วง เพลงลูกทุ่งที่เปิดซะดังลั่นคงไม่ได้เสนาะหู แต่เปิดไว้ขับกล่อมตัวเองให้นอนหลับเสียมากกว่า “หกพันค่ะ” “มีแอร์ไหม” “มีค่ะ” “มีลิฟต์ไหม” “มีค่ะ” “อยู่ชั้นไหน” “ชั้นหกค่ะ” “หลิง” พศวัตเดินมาหาลลดาที่ยืนกอดกระเป๋าไว้แน่น “คะ?” เธอไม่รู้ว่าเขาเรียกทำไม แต่หน้าตาจริงจังทำให้ใจคอไม่ดีเลย “ผมกลับแล้วนะ” “ค่ะ สวัสดีค่ะ” ลลดายกมือไหว้ กลับก็ดี ใจหายใจคว่ำ คิดว่าจะขอขึ้นห้อง เพราะก่อนจะบอกว่ากลับ เหมือนเขาจะพูดอะไรสักอย่างที่แตกต่างออกไป ว่าแล้วก็ยืนส่งเจ้านายตามมารยาท มองจนรถเขาขับออกไปจนพ้นสายตา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD