2

1519 Words
หนึ่งธิดาไปยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน        บิดาอุ้มลูกอีกคนและพาเดินกันเข้าบ้าน ในขณะที่เธอโดนทิ้งเอาไว้ตรงนั้น วันเวลาผ่านไปไม่หวนกลับ หนึ่งธิดาเจริญวัยเป็นสาวน้อยสะพรั่งที่เอาแต่เก็บตัว และทำงานงกๆ ในบ้าน ยิ่งนับวันบิดายิ่งห่างเหินและไม่หลงเหลือความรักความเมตตาอะไรให้แก่เธออีกเลย แต่ยังดีที่เธอได้เรียนหนังสือ แม้กระนั้นเงินที่บิดาส่งเสียให้เล่าเรียนก็อยู่ในกำมือของมารดาเลี้ยงจนหมด เธอไม่เคยได้เงินไปโรงเรียนเลยแม้แต่บาทเดียว พอไปถึงโรงเรียนจึงไปรับจ้างทำงานแลกข้าวกลางวัน และช่วยคุณครูทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายส่วนตัว กลับจากโรงเรียนเธอต้องทำงานงกๆ เสื้อผ้าสวยๆ อาหารดีๆ ไม่เคยตกถึงท้อง ความหวังนั้นเลื่อนลอยพอๆ กับการเก็บตัวอยู่คนเดียวเมื่อยามไม่มีใครเรียกใช้งานเยี่ยงทาส ความรักความอบอุ่นจากบิดาค่อยๆ จางหายไปเหมือนอากาศที่มองไม่เห็น มันบางเบาและเธอคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้รับมันอีกแล้ว “แม่จ๋า... หนึ่งคิดถึงแม่จังเลย” หนึ่งธิดานำรูปของมารดาที่ใส่กรอบเอาไว้มากอดแนบอกแล้วร้องไห้ มันเก่ามากแล้วแต่ใบหน้ายิ้มแย้มของท่านทำให้เธอมีกำลังใจเหลือล้นในการใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน เธอค่อยๆ เดินไปดูครอบครัวของตัวเองนั่งรับประทานอาหารกันในบ้านหลังใหญ่ แต่ไม่มีเธออยู่ในนั้น มารดาเลี้ยงห้ามไม่ให้เธอไปกินข้าวด้วย ถ้าเธอเสนอหน้าออกไปวันไหน ลับหลังบิดา ตอนท่านไม่อยู่บ้านก็จะโดนมารดาเลี้ยงและน้องสาวกลั่นแกล้งสารพัด บิดาให้คนมาตามไปกินข้าว เธอต้องแกล้งบอกว่าไม่หิว ไม่ไป ท่านก็เลิกสนใจไปเอง เธอกินเศษอาหารเหลือๆ จากคนในบ้านกินแล้ว เพื่อประทังชีวิต ความหวังเรื่องที่จะออกจากบ้านหลังนี้คือการเรียนหนังสือ หนึ่งธิดาบอกตัวเองเสมอว่าต้องเรียนให้เก่ง เรียนให้จบ จะได้มีงานดีๆ ทำ หลายครั้งอยากทำตัวเหลวไหล แต่พอได้เห็นรูปมารดา เธอก็มีสติ       หากยิ่งทำตัวเช่นนั้นจะยิ่งโดนดูถูกเหยียดหยาม ชีวิตถูกเหยียบย่ำมากขึ้น การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ฟังที่ดี การไม่สู้รบตบมือกับคนร้ายกาจแบบมารดาเลี้ยงและน้องสาวไม่ใช่เพราะเธอกลัว        แต่เพราะรอโอกาส... โอกาสที่เธอจะได้หลุดพ้นออกไปจากที่นี่ หนึ่งธิดาได้ยินบิดาและมารดาเลี้ยงคุยกันที่โต๊ะอาหาร เรื่องครอบครัวของคุณภัทรวดีที่กำลังลำบาก เธอยืนตัวแข็งค้าง เพราะนึกเป็นห่วงครอบครัวของป้าวดีขึ้นมา ใจนึกกระหวัดไปถึงหาญ พี่ชายข้างบ้านที่เธอรักสุดหัวใจ “เราไม่น่าให้ยายสองหมั้นกับลูกชายบ้านนั้นเลยนะคะคุณวิน” ปานดาวพูดขึ้น ตอนนี้ครอบครัวของภัทรวดีกำลังตกที่นั่งลำบาก โดนฟ้องล้มละลาย ยากจนขนาดนั้นใครจะอยากไปเกี่ยวดองด้วย “พูดแบบนั้นเขาจะหาว่าเราใจดำหรือเปล่าคุณดาว ยามเขามีเราก็ดีด้วย พอเขาไม่มีอะไร เราก็ทิ้งเขาไม่ดูดำดูดี” “คุณคิดดูสิคะ ล้มละลายแบบนั้นมีหวังมาเกาะเรากินแหงๆ ดาวไม่เอาด้วยหรอกนะคะ” “มันก็จริงของคุณ แต่ได้ข่าวว่าคุณวดีจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดน่ะ” “โอ๊ย! ย้ายไปอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนั้น ไม่รู้จะลืมตาอ้าปากได้ตอนไหน ยายสองน่ะเป็นลูกสาวของเรานะคะ จะให้ไปลำบากลำบนแบบนั้นได้ยังไง ต่อไปโตขึ้นก็ต้องมีผู้ชายดีๆ เข้ามาในชีวิต ลูกเราจะแต่งงานกับใครต้องให้สมน้ำสมเนื้อมีฐานะเท่าเทียมกัน จะให้ไปแต่งงานกับพวกผู้ดีตกยาก ล้มละลายแบบนั้นได้ยังไงกัน” ปานดาวเหยียดปาก เพราะนอกจากเป็นแม่บ้านให้กวินแล้ว เธอยังมีงานอย่างอื่นให้ทำอีกด้วย เธอให้บุตรสาวหมั้นหมายกับหาญเพราะบ้านนั้นรวย แต่ตอนนี้ตกยากไปแล้ว ใครจะอยากไปดอง ไปคบค้าสมาคมด้วยกันเล่า “แต่ยายสองหมั้นกับหาญแล้วนะ” “หมั้นแค่ลมปากนี่คะ ไม่ได้ทำพิธีอะไรเสียหน่อย คุณเชื่อดาวเถอะค่ะ เดี๋ยวดาวจะจัดการเรื่องนี้เอง” “แล้วแต่คุณละกัน” กวินไม่อยากขัดใจภรรยา ลึกๆ ก็เห็นด้วยว่าการไปข้องเกี่ยวกับครอบครัวที่ถูกฟ้องล้มละลายแบบนั้นมีแต่จะมาสูบเงินทองไปจากเรา ไม่เกี่ยวข้องด้วยเป็นการดีที่สุด หนึ่งธิดาแอบมองครอบครัวของหาญกำลังขนของย้ายบ้านด้วยสายตาเศร้าสร้อย เธอได้แต่แอบมองเขา ยามนี้อยากเข้าไปถามไถ่ แต่เขาและมารดาเข้าใจเธอผิด คิดว่าเธอเป็นเด็กไม่ดี เธอเลยไม่กล้าเข้าไปเกะกะ ได้แต่ส่งกำลังใจไปให้คนทั้งสองเท่านั้น เธอเห็นมารดาเลี้ยงกับน้องสาวเดินเข้าไปในบ้านของหาญด้วยท่าทีดูเห็นอกเห็นใจ เธอรู้ว่าทุกอย่างคือการเสแสร้งแกล้งทำทั้งหมด “พี่หาญสู้ๆ นะคะ สองจะเป็นกำลังใจให้พี่เสมอค่ะ” สุทธิดาจับมือหาญและเอ่ยให้กำลังใจเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอบใจน้องสองมากนะครับ พี่ไปอยู่ที่โน่นจะเขียนจดหมายมาหานะครับ” หาญรู้สึกมีกำลังใจเมื่อคู่หมั้นของตนไม่เคยนึกรังเกียจที่เขายากจนไม่เหลืออะไรเลย “ค่ะ แล้วสองจะรอนะคะ” สองแม่ลูกยืนส่งครอบครัวของภัทรวดี ในขณะที่ปานดาวบอกว่ากวินติดงานไม่สามารถมาส่งได้ หนึ่งธิดาโบกมือลาพี่ชายที่เธอแอบรักด้วยน้ำตานองหน้า มองท้ายรถที่ขับออกไปอย่างเชื่องช้า เขาหันมาโบกมือแต่ไม่ได้โบกมือให้เธอ เขาโบกมือให้น้องสาวของเธอ แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เธอก็ยังเห็นรอยยิ้มของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก “เก่งมากลูก” ปานดาวบอกบุตรสาว เธอให้สุทธิดาแกล้งทำท่าทีสงสารหาญ เพื่อจะได้ให้เขารีบไปเร็วๆ ไม่ต้องมาติดอกติดใจอะไรกันอีก ไปอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนั้น สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี คงไปแล้วไปลับไม่กลับมาให้เห็นหน้าแล้วล่ะ หาญเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี อีกฝ่ายสัญญาว่าถ้าสร้างเนื้อสร้างตัวไม่ได้จะไม่กลับมา เนื่องด้วยไม่อยากให้สุทธิดาอับอายมีสามียากจน ดังนั้นปานดาวจึงไม่ได้คิดให้ถอนหมั้นกันเพราะหากวันหนึ่งได้ดีขึ้นมาก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้ายังจนอยู่เหมือนเดิม ค่อยถอนหมั้นกันก็ยังไม่สาย ไหนๆ ก็แค่สัญญาปากเปล่าเท่านั้น ว่าโตขึ้นจะให้แต่งงานกัน หาญกับมารดาเดินทางมาถึงบ้านของคุณตาภัทรพลในช่วงเย็น ท่านมีศักดิ์เป็นคุณตาของหาญ เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ภัทรพลนั้นเป็นอาของภัทรวดี ท่านไม่มีลูกหลานที่ไหน และแก่ชรามากแล้ว จึงยินดีต้อนรับคนทั้งสองมาอยู่ด้วยกัน ที่ดินผืนใหญ่แต่ไกลปืนเที่ยงเหลือเกินในความรู้สึกของหาญ มันอุดมสมบูรณ์แต่ไร้ซึ่งความศิวิไลซ์ และห่างไกลความเจริญค่อนข้างมาก ถนนหนทางก็ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร มันยังเป็นถนนลูกรังอยู่เลย เขาตัดสินใจไม่เรียนต่อ แม้มารดาจะคะยั้นคะยอเพียงใดก็ตาม เนื่องด้วยที่บ้านของเขาล้มละลาย เป็นที่อับอายขายหน้า จากคนที่เคยร่ำรวยก็ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย เรียนได้แค่มหาวิทยาลัยปีสองเขาก็ตัดสินใจจะไม่เรียนต่อที่เดิม หาญคิดว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยเปิดแทน ก่อนหน้านี้เขาเล็งมหาวิทยาลัยที่สามารถเรียนทางไกลได้เอาไว้แล้ว ที่นี่สงบ ทำให้มีสมาธิในการอ่านหนังสือค่อนข้างมาก หาญมั่นใจเรื่องการเรียนของตัวเอง เขาเป็นคนหัวดีและชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่ได้กังวลที่จะมาเริ่มต้นเรียนใหม่ จากสาขาการบริหารธุรกิจไปเป็นสาขาเกษตรศาสตร์แทน “ที่ดินของตาเยอะแยะ แต่ตาไม่ได้พัฒนาอะไรเพราะตาแก่แล้วทำไม่ไหว ถ้าหาญมาอยู่ ตายกให้เลย อยากทำอะไรกับที่ดินผืนนี้ก็ได้ ตายกให้ทั้งหมดนั่นแหละ” ภัทรพลบอกหลานชายอย่างยินดี “นั่นเจ้าภูผาเด็กที่ตาเก็บมาเลี้ยง เรียกใช้ได้เลย” “ครับคุณตา” หาญรับคำอย่างมีความหวัง เขาจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวให้จงได้ สุทธิดาจะได้ไม่น้อยหน้าใคร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD