แม้ความรู้สึกแปลกประหลาดจะยังคงติดค้างในใจ แต่แพรวพรรณก็พยายามสะบัดมันทิ้งไป เธอรู้ว่าการเดินป่าตอนกลางคืนเป็นเรื่องอันตราย โดยเฉพาะกับมือใหม่อย่างเธอ แพรวพรรณเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก ส่องไฟฉายนำทางไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แม้จะยังรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเธออยู่ตลอดเวลา
ในที่สุด เธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเบาๆ นั่นคือสัญญาณว่าเธอใกล้จะถึงลำธารที่ระบุไว้ในแผนที่แล้ว แพรวพรรณถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเดินตามเสียงน้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งก้าวเท้าพ้นแนวป่าทึบออกมาสู่พื้นที่เปิดโล่ง
เบื้องหน้าของเธอคือลำธารใสสะอาดที่ไหลเอื่อยๆ ท่ามกลางหมู่ไม้ใหญ่ แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ รอบๆ บริเวณมีผืนหญ้าสีเขียวที่เหมาะสำหรับการกางเต็นท์ แพรวพรรณยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน อย่างน้อยคืนนี้เธอก็มีที่พักแล้ว
ขณะที่เธอกำลังก้าวเท้าลงไปใกล้ลำธารมากขึ้น จู่ๆ แพรวพรรณก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า เธอสะดุดเข้ากับก้อนหินที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้แห้ง พลันร่างก็เสียหลักล้มลงไปนั่งกับพื้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดหลุดออกมาจากริมฝีปาก เธอรีบยื่นมือไปจับข้อเท้าที่บิดผิดรูป สัญชาตญาณพยาบาลบอกเธอทันทีว่านี่คืออาการ ข้อเท้าแพลง อย่างแน่นอน
“โอ๊ย! เจ็บเป็นบ้าเลย!” แพรวพรรณกัดฟันแน่น น้ำตาคลอเบ้า เธอพยายามขยับขา แต่ความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาจนชา เธอรู้ดีว่าหากข้อเท้าแพลงอย่างรุนแรง เธอจะไม่สามารถเดินต่อไปได้แน่นอน และการที่อยู่ในป่าลึกคนเดียวในสภาพแบบนี้มันอันตรายแค่ไหน
ความสิ้นหวังเริ่มคืบคลานเข้ามา แพรวพรรณรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาทับตัวเธอ อุตส่าห์หนีมาพักใจในป่า แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้
ขณะที่เธอกำลังก้มหน้าร้องไห้อย่างเงียบงัน จู่ๆ ก็มี เสียงขู่คำรามต่ำๆ ดังมาจากพุ่มไม้เบื้องหน้า เสียงนั้นทรงพลังและดุดันเสียจนทำให้เลือดในกายของแพรวพรรณเย็นวาบ เธอรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยความหวาดกลัว
สิ่งที่เธอเห็น ทำให้ดวงตาของแพรวพรรณเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
เบื้องหน้าของเธอ ประมาณสิบเมตรจากจุดที่เธอนั่งอยู่ เสือโคร่งตัวใหญ่สีดำสลับเหลืองทอง กำลังก้าวเท้าออกมาจากเงามืดของพุ่มไม้ มันเดินอย่างสง่างามและเงียบเชียบ ทั่วร่างของมันเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่บ่งบอกถึงพละกำลังอันมหาศาล ดวงตาของมัน เป็นสีเขียวอมฟ้าเดียวกับดวงตาที่เธอเห็นในป่า และตอนนี้มันกำลังจ้องมองมาที่เธออย่างไม่วางตา
แพรวพรรณตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มือเท้าเย็นเฉียบ เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่าที่น่าเกรงขามเช่นนี้ในระยะใกล้ขนาดนี้ หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับกลองรบ
เสือโคร่งตัวนั้นค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้เธออย่างช้าๆ มันไม่ได้แสดงท่าทีดุดันหรือก้าวร้าวแต่อย่างใด เพียงแต่มองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้แพรวพรรณรู้สึกแปลกใจ...มันคือความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
เมื่อมันอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว เสือโคร่งตัวนั้นก็หยุดลง มันจ้องมองมาที่ข้อเท้าที่บวมเป่งของแพรวพรรณ จากนั้นก็เลื่อนสายตาขึ้นมาจ้องที่ดวงตาของเธอ แพรวพรรณรู้สึกเหมือนถูกสะกด เธอไม่กล้าขยับ ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา
ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เสือโคร่งตัวนั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาเขียวอมฟ้าของมันเปล่งประกายเรืองรองกว่าเดิม แสงจันทร์ที่ส่องลงมากระทบกับร่างของมันราวกับมีเวทมนตร์ ทั่วทั้งบริเวณพลันมี หมอกสีขาวบางๆ ลอยขึ้นมาจากพื้นดิน ปกคลุมรอบๆ ตัวเสือโคร่งอย่างรวดเร็ว
แพรวพรรณกะพริบตาถี่ๆ ไม่แน่ใจว่าเธอตาฝาดไปหรือไม่
หมอกสีขาวนั้นหมุนวนอย่างรวดเร็ว คล้ายกับเกลียวลม แรงลมประหลาดพัดโชยมาปะทะร่างของเธอ เธอยกมือขึ้นบังดวงตา
เมื่อหมอกสีขาวจางหายไป สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของแพรวพรรณ ไม่ใช่เสือโคร่งตัวใหญ่อีกต่อไป หากแต่เป็น ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง!
เขาเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นแผงอกและกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบ ผิวของเขาเป็นสีแทน ดวงตาของเขานั้น เป็นสีเขียวอมฟ้าเดียวกับดวงตาของเสือโคร่งตัวเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน ผมสีดำขลับยาวประบ่าดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย รูปร่างของเขาสูงใหญ่สง่างามราวกับเทพบุตรที่หลุดออกมาจากป่าลึก
ชายหนุ่มจ้องมองมาที่แพรวพรรณอย่างสงบนิ่ง เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่ดูเป็นมนุษย์ทั่วไป แต่ดูเหมือนจะมีเพียง ผ้าผืนหนึ่งพันรอบเอว คล้ายกับเครื่องแต่งกายของคนป่าโบราณ
แพรวพรรณอ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต ความตกใจ ความหวาดกลัว และความตื่นตะลึงผสมปนเปกันไปหมด
ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาใกล้แพรวพรรณอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวของเขานั้นเงียบเชียบและมั่นคง ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเป็นห่วงเป็นใย
“เจ้าบาดเจ็บหรือ?” เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยถาม แม้ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับมีความกังวลแฝงอยู่
แพรวพรรณพยายามจะตอบ แต่เสียงกลับติดอยู่ที่ลำคอ เธอได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยช้าๆ พร้อมกับชี้ไปที่ข้อเท้าของตัวเอง
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือที่แข็งแกร่งแต่แผ่วเบาของเขา แตะลงที่ข้อเท้าที่บวมเป่งของเธอ
ทันใดนั้น แสงสีเขียวจางๆ ก็เปล่งประกายออกมาจากมือของเขา แพรวพรรณรู้สึกถึงความเย็นสบายที่แผ่ซ่านเข้ามาในข้อเท้า ความเจ็บปวดที่เคยมีเมื่อครู่เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
แพรวพรรณจ้องมองการกระทำของเขาด้วยความตกใจ ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น เขากำลังใช้ดวงตาคมกริบสีเขียวอมฟ้าจ้องมองเธอราวกับจะสำรวจทุกอณูของเธอ
“เจ้า...เจ้าเป็นใครกันแน่?” แพรวพรรณรวบรวมความกล้าถามออกไปในที่สุด
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มนั้นงดงามจนทำให้แพรวพรรณเผลอจ้องมอง เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอโดยตรง แต่กลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ราวกับเสียงกระซิบของป่า
“ข้าคือผู้พิทักษ์แห่งผืนป่าแห่งนี้ ผู้ที่คอยเฝ้ามองเจ้ามาตลอด… พฤกษ์”