มาร์คัส นีโอเนลสัน นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 32 ปี วางช่อดอกไม้ไว้อาลัยลงที่หน้าหลุมฝังศพของเจสัน น้องชายร่วมสายเลือดซึ่งเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรมขณะไปเจรจาธุรกิจที่ประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน
ร่างไร้วิญญาณของเจสันถูกนำกลับมาประกอบพิธีทางศาสนาที่นิวยอร์ก โดยสายการบินนีโอสกาย ซึ่งเป็นสายการบินยักษ์ใหญ่ระดับโลกของมาร์คัส นอกจากธุรกิจสายการบินแล้วมาร์คัสยังมีธุรกิจอื่นในเครืออีกนับสิบบริษัท ซึ่งบางบริษัทถูกมองว่าเป็นธุรกิจสีเทาและนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจสันถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
“พี่จะลากคอคนที่มันฆ่านายมาลงโทษให้ได้” ผู้เป็นพี่ชายให้คำมั่นสัญญา
“ตำรวจรายงานมาว่า พยานสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถูกฆ่าปิดปาก” โทนี่ ลูกน้องคนสนิทวัยเดียวกันเดินเข้ามารายงานผู้เป็นนายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“Damn!” มาร์คัสสบถอย่างหัวเสีย “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าไอ้เวรที่มันฆ่าเจสันเป็นใคร!”
“ยังเหลือพยานอีกคนที่น่าจะบอกอะไรกับเราได้”
“ใคร?”
“เธอชื่อ เอวาริน”
“ผู้หญิง?”
“ครับ กล้องหน้ารถของคุณเจสันบันทึกภาพเอาไว้ได้ว่า คืนนั้นเธอเป็นคนช่วยคุณเจสันที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสให้หนีมาที่รถแล้วดูเหมือนคุณเจสันจะฝากของอะไรบางอย่างไว้กับเธอก่อนสิ้นใจด้วย”
“ของอะไร” มาร์คัสสงสัย
“ยังไม่ทราบครับ แต่น่าจะเป็นของที่สำคัญมาก เพราะพวกคนร้ายก็กำลังตามล่าตัวเธอเพื่อที่จะเอาของสิ่งนี้อยู่เหมือนกัน”
“คิดว่าพวกมันเป็นใคร”
“มีคนนึงผมจำได้ว่าเป็นลูกน้องของไอ้เซบัสเตียนครับ” โทนี่หมายถึงเจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวเยอรมันที่หน้าฉากประกอบธุรกิจผลิตรถยนต์หรูส่งออกไปขายทั่วโลก
“ไอ้สารเลว!” มาร์คัสกำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้นจนเส้นเลือดที่หลังมือปูดโปน “ตำรวจรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“ยังครับ ผมให้คนเอากล้องหน้ารถออกมาก่อนที่ตำรวจจะไปเก็บหลักฐาน” โทนี่รู้ดีว่าถ้ามีการสอบสวนแล้วพบว่าเจสันพัวพันกับเจ้าพ่อค้ายาเสพติดระดับโลกเรื่องคงไม่จบง่ายๆ และมันจะต้องส่งผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจสายการบินและธุรกิจอื่นๆ ของมาร์คัสแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเก็บกวาดหลักฐานทุกอย่างที่อาจจะทำให้ผู้เป็นนายเดือดร้อนโดยไม่ต้องรอคำสั่ง
“อย่าให้ตำรวจรู้เรื่องนี้เด็ดขาด งานนี้ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง” หนุ่มเลือดร้อนกัดกรามสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจนน่ากลัวแบบที่โทนี่ไม่ได้เห็นมานานมาก “ไปเตรียมการเดินทาง ฉันจะไปประเทศไทย”
“ไปทำไมครับ” โทนี่แปลกใจ
“ไปหาผู้หญิงที่ชื่อเอวาริน เธอคือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้เซบาสเตียนได้ตัวเธอไปก่อนฉัน”
ถ้าเอวารินคือคนที่กุมความลับการตายของเจสัน เธอก็คือคนสำคัญที่เขาต้องปกป้องด้วยชีวิต
ระหว่างนั่งเครื่องบินจากนิวยอร์กมาประเทศไทยมาร์คัสฆ่าเวลาด้วยการอ่านรายงานผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปีที่ลูกน้องจากบริษัทต่างๆ ส่งมาให้ ปิดท้ายด้วยการอ่านประวัติของเอวาริน ทำให้พอรู้ข้อมูลคร่าวๆ ว่า ปัจจุบันเธออายุยี่สิบสี่ปี เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกแม่ทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่แรกคลอด จากนั้นเธอก็ถูกส่งตัวไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อน
เอวารินเป็นเด็กดี ช่วยเหลืองานสถานสงเคราะห์ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เธอทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรี ปัจจุบันเป็นนางแบบและย้ายออกมาอยู่คอนโดฯ ตามลำพังแต่ก็ยังกลับไปเยี่ยมน้องๆ ที่สถานสงเคราะห์อยู่เป็นประจำ
มาร์คัสอ่านประวัติของเอวารินแล้วเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานสีขาวจากผู้หญิงคนนี้ต้องจิตใจดีมากแน่นอน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเจสัน
ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเลื่อนหน้าจอไอแพดไปที่รูปของเธอซึ่งแนบมากับประวัติส่วนตัวแบบไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ทันทีที่เห็นรูปถ่ายชัดเต็มสองตาก็ตกตะลึงตาค้างจนแทบลืมหายใจ
ในรูปถ่าย เอวารินสวมชุดบิกินีสีขาวซึ่งเป็นเพียงผ้าสามเหลี่ยมชิ้นเล็กปกปิดจุดสำคัญทั้งช่วงบนและช่วงล่าง เปิดเปลือยให้เห็นเนื้อแท้เกือบทั้งตัวทำให้ดูเซ็กซี่น่าหลงใหล ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองโดยไม่มีข้อกังขาเลยว่า เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก
สวยทั้งรูปร่าง หน้าตาและจิตใจ
มาร์คัสเลื่อนหน้าจอกลับไปที่ประวัติของเธออีกครั้งเพื่อจะหาคำว่า ‘โสด’ แต่ก็ไม่เห็น และนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิดมาก ครั้นจะสะกิดถามโทนี่ซึ่งนั่งหลับอยู่ข้างหลังก็ใช่เรื่องเพราะลูกน้องคนสนิทจะจับได้เสียเปล่าๆ ว่าเขาตกหลุมรักเอวารินตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรูปถ่ายของเธอ