ทันทีที่เอวาริน นางแบบสาวสวยที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ เดินโชว์ในชุดบิกินีปิดท้ายการแสดงเสร็จแล้วกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวหลังเวที ซินดี้ สาวมั่นวัยยี่สิบเจ็ดปี ดีไซน์เนอร์เจ้าของงานก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ท่านกำธรอยากคุยกับริน ออกไปพบท่านหน่อยนะ”
“ไม่ค่ะ” นางแบบสาวตอบเสียงแข็งกร้าวแล้วหันไปหยิบเสื้อยืดกับกางเกงยีนสีซีดมาสวมทับชุดว่ายน้ำที่ซินดี้ออกปากยกให้เธอก่อนเดินโชว์
“อย่าทำให้ท่านโกรธ ไม่งั้นรินจะเดือดร้อน” ซินดี้เตือนด้วยความหวังดีในฐานะที่เป็นผู้ชักนำเอวารินเข้าสู่วงการนางแบบและกำลังผลักดันเธอให้ก้าวไปสู่การเป็นนางแบบระดับโลกอย่างที่เธอใฝ่ฝัน
“แค่ทุกวันนี้ที่ท่านของพี่ซินดี้คอยตามรังควานรินให้ไปเป็นนางบำเรอ รินก็เดือดร้อนจะอยู่แล้ว ถ้าจะเดือดร้อนเพิ่มอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หญิงสาวเดินไปนั่งที่เก้าอี้มุมห้องแล้วถอดรองเท้าส้นสูงที่ใช้สำหรับเดินแบบออกก่อนจะหยิบรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่มีสภาพมอซอออกมาสวม
ซินดี้เดินตามไปเกลี้ยกล่อมสีหน้าเคร่งเครียด “ยอมท่านเองดีกว่าถูกท่านบังคับนะ รินก็รู้ว่าคนอย่างท่าน อยากได้ใครต้องได้”
“แต่ท่านจะไม่มีวันได้ตัวริน!” เอวารินประกาศกร้าวอย่างคนที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตน “รินจะยอมนอนกับคนที่รินรักและเค้าก็รักรินเท่านั้น รินรักษาความเวอร์จิ้นของตัวเองมาได้ตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว รินไม่ยอมเสียมันให้กับผู้ชายที่รินไม่ได้รักง่ายๆ หรอกค่ะ”
“เฮ้อ...แล้วพี่จะออกไปบอกท่านว่ายังไง”
“พี่ซินดี้ก็บอกไปว่ารินเป็นนางแบบไม่ใช่อีตัว คนอย่างรินไม่มีวันขายตัวให้ไอ้แก่ตัณหากลับอย่างมันเด็ดขาด”
“ริน! ทำไมพูดอย่างนั้น เดี๋ยวใครได้ยินเข้าแล้วเอาไปฟ้องท่านก็ได้เดือดร้อนกันหมดหรอก”
“รินพูดความจริง รินไม่กลัว” เอวารินคว้าเป้มาสะพายขึ้นไหล่อย่างทะมัดทะแมง ผิดกับลุกส์สาวเซ็กซี่ที่เดินแบบในชุดว่ายน้ำบนเวทีเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง “เที่ยงคืนกว่าแล้ว รินกลับก่อนนะพี่ซินดี้ ไม่อยากกลับดึกมาก ช่วงนี้ยิ่งรู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตามอยู่ด้วย” นางแบบสาวยกมือไหว้ลาซินดี้แล้วรีบเดินออกไปทางประตูหลัง
เอวารินลงลิฟต์จากชั้น 25 ของโรงแรมริมแม่น้ำ เจ้าพระยา อันเป็นสถานที่จัดงานเดินแบบลงมายังลานจอดรถชั้นจี ซึ่งขณะนี้เงียบสงัดจนน่ากลัว ทั้งชั้นมีเพียงรถเต่าคันเล็กสีชมพูช็อกกิ้งพิงก์ของเธอจอดอยู่กับรถของคนอื่นอีกแค่สี่ห้าคัน หญิงสาวรีบก้าวยาวๆ ไปที่รถอย่างระวังตัว แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหลังมาจึงหันกลับไปดู แต่ไม่เห็นใคร
“คน...คน...หรือ...ผี?” เอวารินเริ่มหน้าซีดด้วยความกลัว และเมื่อหันหน้ากลับมาอีกที ก็ต้องช็อกสุดขีด เพราะมีชายชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาถมึงทึงสามคนถือปืนเล็งมาที่เธอ
“อย่าทำอะไรฉันนะ ถ้าอยากได้เงินก็เอาไปเลย ฉันให้ทั้งกระเป๋าเลย เอาไป!” หญิงสาวตั้งใจโยนกระเป๋าเป้ใส่หน้าคนร้าย แล้วจะวิ่งหนี แต่คนร้ายที่ตัวใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นกลับไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย แถมยังตะคอกกลับด้วยน้ำเสียงดุดันน่ากลัวอีกต่างหาก
“ของที่ไอ้เจสันให้เธอไว้ก่อนตายอยู่ที่ไหน!”
“เจสัน? ใคร?” เอวารินทำหน้างง
“คนที่เธอพยายามจะช่วยชีวิตมันคืนนั้นไง”
เอวารินคิดทบทวนถึงเหตุการณ์คืนนั้นก็จำได้ว่า วันนั้นเธอไปปาร์ตี้วันเกิดของซินดี้ร่วมกับเพื่อนนางแบบกลุ่มใหญ่ที่ผับหรูแห่งหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น ทำให้นักดนตรีที่กำลังเล่นสดอยู่บนเวทีหยุดชะงักทั้งวง ลูกค้าในร้านต่างพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง แล้วชายชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ถูกยิงจนเลือดท่วมตัวก็กระเสือกกะสนหนีตายมาล้มลงตรงหน้าเธอแล้วขอร้องให้ช่วย
เอวารินพาเขาหนีมาที่รถ ชายคนนั้นพูดอะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไรว่า ‘มาร์คัส...พี่ชายผม...มีคนจะฆ่าเขา’ เขาฝืนพูดกระท่อนกระแท่นเสียงเบาจนฟังแทบไม่ได้ยิน จากนั้นก็หยิบพวงกุญแจรูปตุ๊กตาหมีออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วจับยัดใส่มือเธอ “ฝากให้พี่ชายผมด้วย” เขาจับมือเธอให้กำพวงกุญแจไว้แน่น วิงวอนเธอด้วยสายตาแล้วสิ้นใจในวินาทีต่อมา
เมื่อคิดได้ดังนั้น เอวารินก็เหลือบตามองกระเป๋าเป้ที่ตกอยู่ที่พื้นข้างเท้าของคนร้าย ที่กระเป๋ามีพวงกุญแจรูปตุ๊กตาหมีที่เจสันให้เธอไว้ก่อนเสียชีวิตห้อยอยู่ หญิงสาวรีบเบนสายตาออกจากกระเป๋าเพื่อไม่ให้มีพิรุธทันที
“ของที่ไอ้เจสันให้เธออยู่ไหน!” คนร้ายเค้นเสียงถาม
“ฉันไม่รู้ อย่ามายุ่งกับฉัน” เธอปฏิเสธเสียงสั่น
“ถ้าไม่อยากตายก็บอกมา” คนร้ายกระชับปืนในมือแน่นเตรียมเหนี่ยวไกยิง
“อย่ายิงฉันนะ!” หญิงสาวหลับตาปี๋ด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ เธอได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด นาทีนั้นคิดว่าคงไม่รอดแน่ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ามีชายชาวต่างชาติคนหนึ่งมาช่วย และเสียงปืนที่เธอได้ยินก็คือเสียงยิงต่อสู้กันของทั้งสองฝ่าย
ผู้ชายคนนั้นคือมาร์คัสนั่นเอง!
คนร้ายคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาหาเอวาริน มาร์คัสกระโดดเข้ามาถีบคนร้ายกระเด็นไปแล้วดึงตัวหญิงสาวเข้ามาหลบที่หลังเสา เขากอดเธอไว้แนบอกแล้วยื่นหน้าออกไปยิงต่อสู้กับคนร้ายพร้อมกับถามเธอด้วยความห่วงใยไปด้วย
“คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ” เอวารินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อจัดของชายชาวต่างชาติในชุดสูทสีดำที่กำลังปกป้องเธออยู่อย่างพิจารณาราวกับจะจดจำใบหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้ให้ขึ้นใจ แผงอกกว้างของเขาอบอุ่น วงแขนที่กอดกระชับเธอไว้ให้ความรู้สึกปลอดภัย กลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ลอยมาจากร่างกายกำยำนั้นหอมละมุน ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายแม้อยู่ท่ามกลางดงกระสุนที่เสียงดังแก้วหูแทบแตก
มาร์คัสยิงต่อสู้กับคนร้ายจนกระสุนหมดแม็ก เอวารินได้ยินเขาสบถอย่างหัวเสียก่อนจะรวบตัวเธอไปหลบอีกด้านของเสาสี่เหลี่ยมที่มีหน้ากว้างมากพอจะกำบังร่างของทั้งคู่จากกระสุนปืนของคนร้ายที่ยิงเข้าใส่รัวๆ แบบไม่ยั้ง
“ทำไงดี ฉันยังไม่อยากตาย” หญิงสาวกดร่างสั่นเทาของตัวเองแนบกับแผงอกแกร่งของเขาอย่างหวาดกลัว
“วิ่ง!” มาร์คัสโอบไหล่เอาตัวบังกระสุนให้เอวารินแล้วพาเธอวิ่งหนีคนร้ายออกไปทางด้านหลังของโรงแรม คนร้ายสองคนวิ่งตามทั้งคู่ไป ส่วนอีกคนวิ่งตามโทนี่ที่ฉีกตัวล่อพวกมันออกไปอีกทาง
มาร์คัสพาเอวารินวิ่งหนีมาถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งคู่หยุดยืนพิงราวสะพานหายใจเหนื่อยหอบ
“ขอบคุณนะคะที่ช่วย ถ้าไม่ได้คุณฉันตายแน่”
มาร์คัสยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่วิ่งตามมาทันเจาะเข้าที่ไหล่ขวาจนเลือดไหลอาบ
“คุณถูกยิง!” หญิงสาวตกใจหน้าซีดเผือด
“ผมไม่เป็นไร” มาร์คัสใช้มือข้างซ้ายกดไหล่ห้ามเลือดเอาไว้แล้วจะพาเอวารินวิ่งหนีไปอีกทาง แต่พอหันไปก็เห็นว่าคนร้ายอีกคนถือปืนเล็งอยู่พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เท่ากับตอนนี้ทั้งคู่โดนดักไว้ทั้งสองด้านของสะพาน ทางเดียวที่จะรอดคือต้องกระโดดสะพานหนี
“คุณว่ายน้ำเป็นมั้ย”
“เป็นค่ะ”
“งั้นโดด!”
“นี่มันแม่น้ำเจ้าพระยานะ โดดลงไปมีแต่ตายกับตาย”
“หรือคุณจะให้พวกมันยิงตายอยู่ตรงนี้”
เอวารินมองคนร้ายทั้งสองคนสลับกับมองลงไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ดำมืดท่าทางครุ่นคิดลังเลใจ ในขณะเดียวกันคนร้ายก็กำลังเดินใกล้เข้ามาอย่างเลือดเย็นคล้ายความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกวินาที
“ถ้าไม่ยอมบอกว่าของที่ไอ้เจสันมันให้เธออยู่ที่ไหน ก็ตายอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” คนร้ายคนหนึ่งเล็งปืนมาที่กลางหน้าผากของ เอวารินและกำลังจะเหนี่ยวไก
“ไม่มีเวลาคิดแล้ว โดด!”
มาร์คัสอุ้มเอวารินขึ้นไปยืนบนราวสะพานแล้วพาเธอกระโดดหนีลงน้ำ พร้อมกับกระสุนที่เฉี่ยวขมับของหญิงสาวไปแค่เสี้ยวมิลลิเมตร
“กรี๊ด!” เอวารินหลับตาปี๋ กรีดร้องสุดเสียง ในใจคิดว่าต่อให้ไม่โดนยิงตายก็ต้องจมน้ำตายแน่
ร่างของเอวารินและมาร์คัสกระทบผิวน้ำเสียงดังตูมจนเกิดระรอกคลื่นเป็นวงกว้าง ทั้งคู่จมดิ่งลงไปในความมืดมิดและเยียบเย็นของสายน้ำ ยิ่งดิ่งลึกไปมากเท่าไร หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกว่ามือของมาร์คัสที่จับมือเธอไว้แน่นตั้งแต่ตอนที่กระโดดลงมาจากสะพานค่อยๆ คลายออกจนสัมผัสของเขาหายไปจากการรับรู้
เอวารินพยายามถีบตัวขึ้นเหนือน้ำ แต่ยากเย็นเหลือเกิน แม้ใจสู้แต่ร่างกายกลับไม่มีพละกำลังที่จะต้านทานกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวได้เลย ร่างบอบบางที่กำลังจะขาดอากาศหายใจถูกดึงให้จมดิ่งลงไปในความมืดและเหน็บหนาว
ลึกลง...ลึกลง จนในที่สุดทุกสิ่งก็หยุดนิ่งและดำมืด
มาร์คัสนั่งเฝ้าเอวารินที่ยังไม่ได้สติอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดและแพงที่สุดอย่างใกล้ชิด เมื่อคืนนี้กว่าที่เขาจะช่วยเอวารินขึ้นมาจากน้ำได้เธอก็หยุดหายใจไปแล้ว เขาต้องทำ CPR อยู่เกือบนาทีกว่าเธอจะกลับมาหายใจอีกครั้ง และหลังจากลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาแวบหนึ่ง เธอก็หมดสติไปอีก จนกระทั่งบ่ายแก่ของวันนี้ก็ยังไม่ฟื้น แต่นายแพทย์ที่เข้ามาตรวจอาการเป็นระยะก็บอกว่าอาการของเธอไม่น่าเป็นห่วง ไม่มีบาดแผลทางร่างกาย แต่ที่ยังไม่ฟื้นอาจเป็นเพราะอ่อนเพลียหรือไม่ก็ช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากเท่านั้น
ชายหนุ่มนั่งมองใบหน้าสวยเก๋ของคนที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่อย่างหลงใหล ตอนที่เห็นรูปถ่ายเธอครั้งแรกว่าสวยมากแล้ว แต่ตัวจริงสวยยิ่งกว่าในรูปล้านเท่า
ใบหน้าของเธอเรียวได้รูปสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ หน้าผากที่รอดพ้นจากลูกตะกั่วมาได้แบบเฉียดฉิวโหนกนูนเกลี้ยงเกลารับกับจมูกที่โด่งเป็นสันอย่างน่ามันเขี้ยว จนเขานึกอยากจะลองกัดเล่นดูสักครั้ง อีกทั้งริมฝีปากเต็มอิ่มสีชมพูระเรื่อแม้ไม่ได้ทาลิปสติกนั่นก็น่าลิ้มลองเหลือเกินว่าจะมีรสชาติหวานล้ำเพียงใด
อยู่ๆ มาร์คัสก็ลุกจากเก้าอี้แล้วโน้มตัวแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากสีหวานแผ่วเบา เขาไม่ได้บ้าและไม่ใช่พวกโรคจิตที่ชอบลักหลับคนป่วย แต่ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์เย้ายวนจนยากจะห้ามใจจริงๆ
เซ็กซ์แอบเพียลของเธอมีพลังทำลายล้างสูงมาก
เอวารินขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ เมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งที่อ่อนนุ่มทว่าร้อนผ่าวเคลื่อนไหวอยู่บนริมฝีปาก และภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็คือใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งแนบชิดอยู่กับใบหน้าของเธอ หญิงสาวเห็นหน้าเขาไม่ชัดเพราะอยู่ในระยะที่ใกล้เกินกว่าจะเห็นใบหน้าทั้งหมดของเขา เธอเห็นเพียงเปลือกตาที่ปิดสนิทด้วยความเคลิบเคลิ้มกับรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากปลายจมูกโด่งที่ปัดอยู่ข้างแก้มเท่านั้น
เธอควรจะตกใจกลัวและกรีดร้องให้คนช่วย แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเขาที่ลอยมากระทบปลายจมูกกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
“ฉันกำลังฝันว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงนิทราที่ถูกเจ้าชายปลุกด้วยจูบอยู่ใช่มั้ย” เธอขยับปากพึมพำแนบชิดกับริมฝีปากของผู้รุกรานจนเขาตกใจรีบผละออกแล้วปั้นหน้านิ่งขรึมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เอวารินก็ยกมือแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่นี้ถูกเขาจูบจริงหรือแค่ฝันไป
“เป็นยังไงบ้าง คุณหมดสติไปตั้งนานจนผมใจคอไม่ดี” เขาถามด้วยความเป็นห่วงแล้วช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแต่ทำได้ไม่ถนัดนัก เพราะไหล่ขวาได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงแถมยังมีสายพยุงแขนคล้องคออยู่ด้วย
เอวารินจ้องหน้าเขานิ่งนาน พยายามนึกว่าเขาเป็นใคร ทำไมถึงมานั่งเฝ้าเธออยู่ข้างเตียง แถมยังถามไถ่ราวกับรู้จักกันดี แต่ก็นึกไม่ออกจึงถามไปตามตรง “คุณเป็นใคร”
“ผมชื่อมาร์คัส นีโอเนลสัน คุณจะเรียกผมว่ามาร์คก็ได้”
หญิงสาวพยักหน้ารับแบบไม่ใส่ใจนักแล้วกวาดตามองไปรอบห้องจากนั้นก้มลงมองชุดคนไข้ที่ตนสวมอยู่ “ทำไมฉันถึงมาอยู่โรงพยาบาล ฉันไม่ได้ป่วยเป็นอะไรสักหน่อย”
“เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อย แล้วคุณก็สลบไปไง”
“มีเรื่องอะไรคะ” เธอถามงงๆ
“คุณจำไม่ได้เหรอ”
เอวารินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “จำไม่ได้ค่ะ”
“แล้วคุณจำผมได้มั้ย”
“ฉันจำได้ว่า เราไม่เคยรู้จักกัน แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนด้วย”
“คุณจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้จริงเหรอ” มาร์คัสแปลกใจ เธอไม่น่าความจำสั้นถึงขั้นจำไม่ได้ว่าเพิ่งผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน
“ฉันจำไม่ได้จริงๆ ค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าจนเส้นผมที่ยาวถึงกลางหลังซึ่งย้อมไว้ด้วยสีมะฮอกกานีปลิวไสว “เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
“คุณชื่ออะไรจำได้มั้ย” เขาถามเพื่อทดสอบอะไรบางอย่างที่กำลังสงสัยอยู่
“ฉันชื่อ” คราวนี้เอวารินนิ่งคิดไปนานมากแต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ยิ่งคิดหัวคิ้วเรียวสวยก็ยิ่งขมวดมุ่นอย่างตึงเครียด “ฉันชื่ออะไร? ฉันเป็นใคร? ทำไมฉันจำตัวเองไม่ได้”
มาร์คัสทำหน้าเครียด
เวรละ...หรือว่าเธอจะความจำเสื่อม