บทที่ 1 - จูบเดียวเสียวสะท้าน [2]

3139 Words
มาร์คัสขอให้หมอตรวจอาการของเอวารินอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะสมองและระบบประสาท หมอสรุปผลการตรวจให้ฟังในเช้าวันต่อมาว่าเธอมีอาการความจำเสื่อมชั่วคราวเนื่องจากช็อกอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ถูกไล่ล่า “ความทรงจำของเธอจะกลับมาเมื่อไหร่” นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งถามอย่างเป็นกังวลเพราะความลับการตายของเจสัน มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ “หมอยังตอบไม่ได้นะครับ อาจจะหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละราย” “แล้วมีทางรักษาให้หายมั้ยครับ” “ถ้าจำเป็น จะลองรักษาด้วยวิธีช็อตไฟฟ้าก็ได้ แต่หมออยากให้คุณลองสังเกตอาการของคนไข้ไปก่อน ถ้าสักหนึ่งเดือนแล้วคนไข้ยังจำอะไรไม่ได้ เราค่อยมาปรึกษากันอีกทีว่าจะรักษากันยังไงต่อ” “ก็ได้ครับ” มาร์คัสตอบรับสีหน้าเคร่งเครียดเพราะนอกจากจะห่วงเรื่องความลับการตายของน้องชายแล้ว เขายังเป็นห่วงเอวารินด้วยว่าเธอจะใช้ชีวิตคนเดียวได้อย่างในช่วงที่ความจำเสื่อม อีกทั้งยังมีพวกคนร้ายคอยตามเธออยู่อีก หลังจากคุยกับหมอเสร็จ มาร์คัสก็กลับมาหาเอวารินที่ห้องพักและเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง หญิงสาวรับฟังคำวินิจฉัยของหมอจากปากชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเงียบสงบเพราะพอจะรู้อยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย แต่ที่เธอไม่รู้คือ เธอจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนานแค่ไหน “ฉันจะกลับมาจำอะไรได้อีกเมื่อไหร่” เอวารินถามอย่างเลื่อนลอย ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่ล้อมไว้ด้วยแพขนตางอนยาวมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเต็มเบ้าด้วยความหวาดกลัวและโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง “ไม่มีใครรู้ แม้แต่หมอก็ยังตอบไม่ได้” เอวารินฟังแล้วยิ่งเศร้า “คุณไม่ต้องกลัว ผมสัญญาว่าจะทำทุกทางให้ความทรงจำของคุณกลับมาให้เร็วที่สุด” “แล้วฉันจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ตัวฉันเองเป็นใครฉันยังจำไม่ได้เลย” หญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล “อยู่กับผม ผมจะดูแลคุณเอง” มาร์คัสกุมมือเล็กทั้งสองข้างไว้ด้วยมือใหญ่เพียงข้างเดียว ที่เธอต้องเดือดร้อนและถูกตามล่าจนเป็นแบบนี้ก็เพราะช่วยเหลือน้องชายเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรับผิดชอบชีวิตเธอ “เราเป็นอะไรกัน ทำไมคุณจะต้องมาดูแลฉันด้วย” “ผมเป็น...” หนุ่มลูกครึ่งชะงักคิดนิดหนึ่งแล้วพูดโพล่งออกไป “...ผมเป็นสามีของคุณ” “สามี!?” เอวารินขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ไม่คุ้นเลยว่าเคยมีสามีมาก่อน “ใช่ ผมเป็นสามีของคุณ” มาร์คัสโกหกเพื่อความปลอดภัยของเธอและเพื่อที่จะได้พาเธอไปอยู่ใกล้ตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้โดยที่เธอไม่ตะขิดตะขวงใจด้วย “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องรู้สิว่าฉันเป็นใคร” แววตาเธอเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังราวกับเห็นเส้นแสงริบหรี่ที่ลอดเข้ามาตามรอยแตกร้าวของกำแพงหนาทึบที่โอบล้อมอยู่รอบด้านทันที “ฉันชื่ออะไรคะ?” “คุณชื่อเอวาริน” “ฉันเชื่อคุณได้จริงๆ ใช่มั้ย คุณไม่ได้โกหกฉันแน่นะ” “ผมไม่ได้โกหกคุณ คุณชื่อเอวารินจริงๆ” มาร์คัสดึงมือข้างหนึ่งของเธอมาจูบหนักแน่นที่หลังมือ “เชื่อใจผมนะ ผมคือคนที่จะปกป้องคุ้มครองคุณ ผมไม่มีวันทำร้ายคุณ” เอวารินมองมือตัวเองที่ถูกเขาจับอยู่อย่างสับสน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน อยู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองความจำเสื่อม แถมยังมีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาบอกว่าเป็นสามีอีก สมองของหญิงสาวสั่งว่าไม่ควรเชื่อคำพูดของเขาง่ายๆ หากแต่สัมผัสอบอุ่นจากมือที่จับประสานกันอยู่ ทำให้หัวใจของเธอทำงานสวนทางกับสมองอย่างสิ้นเชิง “ฉันเชื่อคุณค่ะ” “ขอบคุณที่เชื่อใจผม” หนุ่มลูกครึ่งยิ้มโล่งอกแล้วดึงตัวเธอเข้ามากอดแทนคำสัญญาว่าต่อไปนี้เขาจะดูแลเธอให้ดีที่สุด เอวารินที่ถูกกอดแนบอยู่กับอกของมาร์คัสทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยมากระทบปลายจมูก “กลิ่นนี้...คุ้นๆ” หญิงสาวกดปลายจมูกลงบนสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวบริเวณกลางอกของชายหนุ่ม ซึ่งถูกสวมทับด้วยเสื้อสูทสีดำแล้วสูดดมเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่ากลิ่นนั้นมาจากตัวเขา ปลายจมูกเล็กเชิดรั้นไต่ขึ้นไปตามลำคอ ปัดผ่านลูกกระเดือกไปถึงใต้คาง แล้วไล้เรื่อยผ่านความสากของไรเคราไปตามแนวสันกรามเรื่อยไปจนถึงซอกคอหลังใบหู ทุกสัมผัสที่ปลายจมูกเนียนนุ่มลากผ่าน สร้างความซ่านสยิวให้แก่มาร์คัสอย่างมากมายโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว “คุณจะทำอะไร?” นักธุรกิจหนุ่มถามเสียงสั่นพร่าขณะนั่งตัวแข็งทื่อทว่าประสาทสัมผัสทุกส่วนกลับตื่นเพริดและความเป็นชายของเขาก็ทำท่าจะตื่นขึ้นมาด้วย “ฉันคุ้นกลิ่นน้ำหอมของคุณมากเลย” เอวารินกดปลายจมูกลงบนซอกคอของชายหนุ่มแล้วสูดกลิ่นน้ำหอมจากตัวเขาเข้าเต็มปอด มาร์คัสเดาว่าเธอน่าจะคุ้นกลิ่นน้ำหอมของเขาจากตอนที่เบียดตัวหลบกระสุนคนร้ายอยู่หลังเสาในลานจอดรถนั่น “ฉันชอบกลิ่นคุณมากเลย ยิ่งคุณกอดฉันแบบนี้ ฉันยิ่งรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมาก” เอวารินเบียดตัวเข้าหาอกกว้างของมาร์คัสพร้อมกับเลื่อนมือไปกอดรอบเอวเขาไว้ ในขณะที่จมูกยังซุกไซร้สูดดมกลิ่นน้ำหอมอยู่ที่ซอกคอของเขาราวกับลูกแมวน้อยขี้อ้อน “คุณทำให้ผมร้อนไปหมดทั้งตัวแล้วนะ” ชายหนุ่มกัดกรามแน่นเพื่อข่มความรู้สึกที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมาอย่างง่ายดายแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน “ร้อนเหรอคะ เดี๋ยวฉันปรับแอร์ให้นะคะ” หญิงสาวกวาดตามองหารีโมทเครื่องปรับอากาศไปรอบตัว “ไม่ต้อง...ผมมีวิธีคลายร้อนในแบบของผม” พูดจบ เขาก็สอดมือเข้าไปที่หลังท้ายทอยของคนป่วยแล้วดึงตัวเธอเข้ามาประกบริมฝีปากจูบ เธอเบิกตากว้างตกใจในวินาทีแรก หากแต่สัมผัสแผ่วพลิ้วอ่อนหวานจากริมฝีปากอบอุ่นของเขาก็ทำให้เธอสงบนิ่งและยอมให้เขาดูดดึงขบเม้มตามใจปรารถนา เอวารินจำไม่ได้ว่าเคยถูกจูบแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า รู้แต่ว่าชอบความรู้สึกนี้มากและเมื่อถูกปลายลิ้นใหญ่ดุนดันเพื่อจะรุกล้ำเข้ามา เธอก็เผยอริมฝีปากเปิดทางให้เขาเข้ามาอย่างเต็มใจแล้วหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสวาบหวามจากเขา ฝ่ามือเรียวเล็กเลื่อนขึ้นไปลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาตามแนวสันกรามแล้วจูบตอบอย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นพลิกพลิ้วพัวพันราวกับจะกับจะกลืนกินกันและกัน และทันใดนั้น เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้มาร์คัสต้องจำใจต้องผละออกจากริมฝีปากหอมหวานอย่างแสนเสียดาย เขานึกอยากเตะก้นคนที่มาขัดจังหวะความสุขของเขาเหลือเกิน และคนที่เดินเข้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นโทนี่ ลูกน้องคนสนิทของเขานั่นเอง “ผมเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยแล้วนะครับ นี่ชุดสำหรับใส่กลับบ้านของคุณผู้หญิง” โทนี่ส่งถุงเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงให้มาร์คัสแล้วเดินออกจากห้องเพื่อไปเตรียมรถพร้อมกับแอบยิ้มไปด้วยว่า เจ้านายของเขาเจอคนที่ถูกใจเข้าแล้ว “เราเคยจูบกันแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ลมหายใจสั่นสะท้าน “แล้วคุณชอบหรือเปล่า” มาร์คัสเลือกที่จะย้อนถามเพื่อหลีกเลี่ยงการโกหก “ชอบมากค่ะ” เธอตอบอย่างไม่อาย ในเมื่อเธอเป็นภรรยาของเขา แล้วทำไมจะต้องอายด้วย “ถ้างั้นผมจะจูบคุณบ่อยๆ ดีมั้ย” “ดีค่ะ” เอวารินยิ้มร่าเริง “คุณต้องช่วยฟื้นความทรงจำให้ฉันนะคะว่านอกจากจูบแล้วเรามีความสุขด้วยกันยังไงอีก” “คุณหมายถึง?” ชายหนุ่มไม่อยากตีความไปเองว่าเธอหมายถึงการร่วมรัก “ของแบบนี้ต้องให้พูดตรงๆ ด้วยเหรอคะ” “ถ้าคุณไม่พูดตรงๆ ผมจะรู้ได้ยังไง” หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วออดอ้อนเสียงอ่อนหวาน “ฉันอยากจำได้ว่าตอนที่เรามีอะไรกันมันมีความสุขมากแค่ไหน เพราะแค่จูบฉันยังรู้สึกดีมากขนาดนี้ คืนนี้คุณช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้ฉันหน่อยนะคะมาร์ค” “รอให้คุณแข็งแรงกว่านี้ก่อนนะที่รัก” มาร์คัสตอบเลี่ยงเพราะไม่อยากฉวยโอกาสกับคนความจำเสื่อม แค่โกหกว่าเธอเป็นภรรยาของเขาจนเธอกล้าคุยเรื่องเซ็กซ์อย่างเปิดแบบนี้เขาก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว ขืนให้ฉวยโอกาสร่วมรักกับเธออีก เขาคงหมดความนับถือตัวเอง แต่เธอน่ารักขี้อ้อนขนาดนี้ เขาจะใจแข็งได้นานแค่ไหน “คุณรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า ผมจะพากลับบ้าน เปลี่ยนเองไหวมั้ย” ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะอ้อนเขาจนใจละลายมากไปกว่านี้ “ไหวค่ะ” หญิงสาวยิ้มน่ารัก “ฉันแค่ความจำเสื่อม ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย คุณต่างหากที่กำลังบาดเจ็บอยู่” เอวารินใช้ปลายนิ้วจิ้มเบาๆ ลงบนไหล่ของมาร์คัสที่มีสายคล้องพยุงแขนอยู่ ทำให้ชายหนุ่มต้องขยับไหล่หนีเล็กน้อย “เจ็บเหรอคะ” “นิดหน่อย” “แล้วนี่คุณไปโดนอะไรมาคะ” “โดนยิง” เขาตอบด้วยสีหน้านิ่งมากราวกับเป็นเรื่องปกติ ผิดกับเอวารินที่ตกใจหน้าตาตื่น “โดนยิง! ใครยิงคุณ ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง พวกมันจะมาทำร้ายคุณอีกหรือเปล่า แล้วนี่แจ้งตำรวจหรือยัง” หญิงสาวถามรัวเป็นชุดด้วยความเป็นห่วงคนที่เธอเข้าใจว่าเป็นสามี “ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ผมจัดการได้ ผมแค่ประมาทไปหน่อย แต่ผมจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด” คืนนั้น หลังจากเครื่องลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ มาร์คัสก็ตรงดิ่งไปยังโรงแรมที่เอวารินเดินแบบอยู่ทันที โดยไม่คาดคิดว่าคนร้ายจะไปดักทำร้ายเธอที่นั่น จึงไม่ได้เตรียมอาวุธติดตัวไปมากนัก นอกจากปืนสั้นที่พกติดตัวเป็นประจำเพียงกระบอกเดียวเท่านั้น “คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ จะได้กลับบ้านกัน ผมไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาลนี่เลย” “ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน ฉันชอบกลิ่นนี้มากกว่า...” เอวารินยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มมาร์คัสฟอดใหญ่แล้วยิ้มสดใสใส่ดวงตาสีเทาอมฟ้าน่าหลงใหล “...กลิ่นสามีหอมชื่นใจ” “คุณนี่มันนางมารจอมยั่วชัดๆ” มาร์คัสยิ้มเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า หากแต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความกังวลใจว่าถ้าต้องอยู่ร่วมบ้าน ต้องนอนร่วมเตียงกับสาวสวยเซ็กซี่แถมขี้ยั่วแบบที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัวอย่างนี้ เขาจะห้ามใจตัวเองไม่ให้จับเธอทำภรรยาจริงๆ ตั้งแต่คืนแรกไหวหรือ เอวารินนั่งเคียงคู่กับมาร์คัสอยู่ที่เบาะหลังของรถยนต์หรูสัญชาติยุโรปราคามากกว่าสิบล้านบาทโดยมีโทนี่เป็นคนขับ เมื่อรถแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าตึกใหญ่โทนี่ก็รีบลงไปเปิดประตูรถด้านที่ เอวารินนั่งอยู่อย่างรู้งาน แม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่ใช่ภรรยาที่แท้จริงของผู้เป็นนาย แต่ในฐานะลูกน้องคนสนิทที่ทำงานใกล้ชิดกันมาร่วมสิบปี โทนี่กล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่ามาร์คัสตกหลุมรักเอวารินเข้าแล้ว อีกไม่นานเธอต้องกลายมาเป็นเจ้านายอีกคนของเขาแน่นอน “ถึงบ้านแล้ว ลงรถสิ” มาร์คัสบอกเมื่อเห็นเอวารินเอาแต่นั่งมองออกไปนอกกระจกรถแบบงงๆ “ค่ะๆ ลงแล้วค่ะ” เอวารินก้าวลงจากรถมาก่อนแล้วช่วยประคองมาร์คัสที่เจ็บแขนอยู่ให้ตามลงมา “นี่บ้านคุณเหรอคะมาร์ค” หญิงสาวกวาดตามองไปรอบ ‘บ้าน’ ที่ความจริงควรจะเรียกว่า ‘คฤหาสน์’ มากกว่า เขาต้องรวยขนาดไหน ถึงมีบ้านหลังใหญ่ใจกลางเมืองในย่านธุรกิจแบบนี้ได้ แล้วยังจะรถยุโรปราคาแพงลิบลิ่วเกือบสิบคันที่จอดเรียงรายอยู่ภายในโรงจอดรถซึ่งอยู่ห่างออกไปนั่นอีก คิดแล้วเอวารินก็อดแปลกใจไม่ได้ ว่าเธอมีสามีเข้าขั้นมหาเศรษฐีอย่างนี้ได้ยังไง “เมื่อก่อนเป็นบ้านผมคนเดียว แต่ตอนนี้เป็นบ้านของเรา” เขายิ้มอบอุ่นใส่นัยน์ตาเธอ “ปกติคุณปากหวานอย่างนี้หรือเปล่าคะ” แววตาหวานฉ่ำช้อนขึ้นมองคนตัวสูงกว่าด้วยความสงสัยจริงๆ เพราะเธอจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้สักอย่าง “ที่โรงพยาบาลคุณก็ได้ชิมแล้วนี่ ยังไม่รู้อีกเหรอ หรือจะลองอีกที” ชายหนุ่มก้มลงจุ๊บที่ริมฝีปากของหญิงสาวอย่างรวดเร็วอย่างอดใจไม่ไหวครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ติดว่าโทนี่ยังยืนอยู่ตรงนี้ สาบานได้เลยว่าเขาต้องรั้งเธอเข้ามาจูบให้ดูดดื่มเนิ่นนานมากกว่าเดิมแน่นอน “ฉันไม่ได้หมายถึงหวานแบบนี้สักหน่อย” เธอว่ายิ้มๆ “อ๋อเหรอ? ภาษาไทยผมค่อยไม่แข็งแรง วันหลังคุณก็พูดให้เคลียร์หน่อยก็แล้วกัน” มาร์คัสตีหน้ามึนไปอย่างนั้นเอง ความจริงเขาใช้ภาษาไทยคล่องมาก ทั้งฟัง พูด อ่านและเขียนเพราะมารดาชาวไทยผู้ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อนสอนเขาตั้งแต่เด็ก ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพาเอวารินเข้ามาดูห้องนอนที่เขาเตรียมไว้ให้เธอโดยเฉพาะ ด้วยอำนาจเงินที่มีอย่างมากมายมหาศาลจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะเนรมิตห้องนอนแสนสวยให้เธอได้เพียงชั่วข้ามคืน ภายในห้องนอนกว้างถูกตกแต่งด้วยโทนสีชมพูหวาน ซึ่งเป็นสีที่เขาให้โทนี่ไปสืบมาแล้วว่าเป็นสีโปรดของเธอ เครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบครัน ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง น้ำหอม หรือแม้แต่ชุดชั้นในเขาก็เตรียมไว้ให้แบบพอดีไซส์เป๊ะ “นี่ห้องนอนฉันจริงๆ เหรอคะ” หญิงสาวกวาดตามองไปรอบห้องด้วยแววตาเป็นประกาย “ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยมีห้องนอนสวยขนาดนี้” “ไม่เชื่อผมเหรอ” มาร์คัสยิ้มสบายใจเมื่อเห็นว่าเธอชอบ เพราะตอนแรกเขาก็แอบกลัวว่าจะไม่ถูกใจเธอ “เชื่อค่ะ” หญิงสาวยิ้มสดใสให้เขาเหมือนอย่างเคย “ไม่เชื่อสามีแล้วจะเชื่อใคร แต่ที่ฉันถามเพราะอยากแน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป” “คุณไม่ได้ฝัน ห้องนี้เป็นของคุณจริงๆ ของทุกอย่างในบ้านนี้ก็เป็นของคุณ” “รวมถึงเจ้าของบ้านด้วยหรือเปล่าคะที่เป็นของฉัน” “แน่นอน ผมตกเป็นของคุณตั้งแต่เรายังไม่เจอกันด้วยซ้ำ” มาร์คัสอยากบดขยี้ริมฝีปากที่ยิ้มยั่วให้เขาอยู่ในขณะนี้เหลือเกินแต่ก็ต้องตัดใจเพราะยิ่งจูบ มังกรตัวเขื่องที่กำลังหลับไหลของเขาก็ยิ่งดิ้นพล่านเรียกร้องการปลดปล่อย ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเธอแน่นอน “คุณพักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้ ห้องนอนผมอยู่ฝั่งตรงกันข้าม” “เราไม่ได้นอนห้องเดียวกันเหรอคะ” เอวารินแปลกใจ “ก่อนที่ฉันจะความจำเสื่อม เรามีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าคะ ทำไมต้องแยกห้องนอนกันด้วย” “เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ผมแค่เห็นว่าคุณความจำเสื่อมอยู่ คุณอาจจะอึดอัดที่ต้องนอนร่วมห้องกับสามีที่คุณจำไม่ได้” นั่นเป็นเพียงข้ออ้างของคนที่กลัวแพ้ใจตัวเอง มาร์คัสรู้ตัวดีว่าถ้าต้องนอนเตียงเดียวกัน เขาไม่มีวันทนนอนนิ่งๆ โดยไม่ทำอะไรเธอได้แน่นอน “ฉันไม่อึดอัดเลย ฉันรู้สึกสบายใจมากกว่าเวลาที่มีคุณอยู่ใกล้ๆ” เอวารินเข้ามากอดซบกับอกกว้างของคนที่เธอเข้าใจว่าเป็นสามี “คุณต้องช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้ฉันนะคะมาร์ค ฉันอยากจำคุณได้ ฉันไม่อยากเหงา ไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกอย่างนี้” “คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว คุณมีผม” ชายหนุ่มยกแขนข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บขึ้นโอบกอดปลอบขวัญ “ฉันไม่เชื่อคุณแล้ว” เธอว่าอย่างน้อยใจ “ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมเชื่อ” “นอนกับฉัน” “คุณ...” มาร์คัสอึ้ง “เห็นมั้ย...แค่นอนห้องเดียวกันคุณยังทำให้ฉันไม่ได้เลย แล้วจะให้ฉันเชื่อคำพูดคุณได้ยังไง” มาร์คัสแอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะตีความคำว่า ‘นอนกับฉัน’ ลึกกว่าแค่นอนห้องเดียวกันไปมาก “นอนห้องเดียวกันก็ได้ ผมตามใจคุณ แต่อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้อีกนะ ผมไม่ชอบ” “แล้วคุณชอบให้ฉันทำหน้าแบบไหนคะ” เอวารินเงยหน้าขึ้นถามเขาเสียงหวาน “ผมชอบเห็นคุณยิ้ม” “แบบนี้ใช่มั้ยคะ” ริมฝีปากสีหวานคลี่เป็นรอยยิ้มสดใสแบบที่มาร์คัสเห็นแล้วใจละลายทุกครั้ง “ห้ามยิ้มแบบนี้ให้คนอื่นนะ รอยยิ้มของคุณต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น” ริมฝีปากหยักสวยกดแนบลงมาครอบครองรอยยิ้มสดใสที่ทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนทุกครั้งที่เห็นอย่างถือสิทธิ์ เธอไม่ปฏิเสธ แถมยังจูบตอบเขาอย่างดูดดื่มด้วยการสอดปลายลิ้นเล็กเข้ามาไล้วนบนปลายลิ้นของเขาก่อนอีกต่างหากและเมื่อเธอดูดแล้ว…ดึง ชายหนุ่มก็ครางฮือในลำคอด้วยความเสียวซ่าน ความร้อนวาบแล่นดิ่งจากปลายลิ้นไปสุดส่วนปลายที่ขยายตัวเต็มลำอยู่ภายใต้กางเกงผ้าชั้นดี ผู้หญิงคนนี้ร้อนแรงมาก ปลุกเขาได้เพียงแค่จูบเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD