หลังจากคืนนั้น มาร์คัสก็รักษาระยะห่างกับเอวารินและหลีกเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองมีปฏิกิริยากับเธออีกเพราะแน่ใจว่าหากปล่อยตัวปล่อยใจให้เตลิดไปตามอารมณ์ คราวนี้เขาจะไม่สามารถหยุดตัวเองได้
ดังนั้น ตอนกลางวันเขาจึงเลือกที่จะออกไปข้างนอกเพื่อสืบข่าวของเซบัสเตียนกับโทนี่ แต่ฝ่ายนั้นก็ยังคงเก็บตัวเงียบไม่มีการเคลื่อนไหว กว่าจะกลับบ้านก็ค่ำมืด กลับมาถึงก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานจนดึก โดยอ้างว่าต้องประชุมทางไกลกับคณะผู้บริหารที่นิวยอร์ก ทุกคืนเขาจะรอให้เอวารินหลับก่อนแล้วค่อยเข้าไปนอนในห้องหรือบางคืนก็จะนอนอยู่บนโซฟาตัวเล็กๆ ในห้องทำงานจนถึงเช้า
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนี้ร่วมสัปดาห์จนเอวารินทนไม่ไหวต้องเข้ามาตามเขาในห้องทำงานกลางดึกคืนหนึ่ง
“ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนดีๆ ละคะ” เธอถามชายหนุ่มร่างสูงที่นอนงอเข่าคุดคู้อยู่บนโซฟาเนื่องจากขายาวเกิน
มาร์คัสที่เพิ่งผล็อยหลับไปเมื่อครู่สะดุ้งตื่นแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ “คุณยังไม่นอนอีกเหรอ”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะมาร์ค” เธอบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบระคนน้อยใจที่ถูกปล่อยให้นอนเหงาอยู่คนเดียวมาหลายคืนแล้ว
“คืนนี้ดึกแล้วคุณกลับไปนอนเถอะ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้า” เขาก้มหน้าตอบ พยายามจะไม่มองเรือนร่างเซ็กซี่ที่อยู่ในชุดนอนวาบหวิวแบบที่เธอชอบสวม แต่กระนั้นสายตาก็ยังไม่วายเหลือบไปเห็นปลายยอดทรวงอกที่ดุนดันผ้าเนื้อบางขึ้นมาจนเห็นเป็นรูปร่างเด่นชัด
พระเจ้า เธอโนบรา!
และเขาก็แน่ใจว่าเบื้องล่างภายใต้กระโปรงชุดนอนสั้นเต่อนั้นเธอก็ไม่ได้สวมกางเกงชั้นในเช่นกัน แค่คิด...มาร์คัสก็เริ่มหายใจติดขัด อากาศรอบตัวเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะ
“คุณจะหลบหน้าฉันอีกนานแค่ไหนคะ” เอวารินนั่งลงบนโซฟาเคียงข้างเขา
“ผมไม่ได้หลบหน้าคุณ” มาร์คัสตอบพลางขยับตัวถอยห่างออกไปประมาณหนึ่งคืบ
“แต่คุณก็ไม่เข้าไปนอนในห้องกับฉันตั้งแต่วันนั้น” เธอขยับตัวตามไปให้ใกล้เท่าเดิม “คุณโกรธฉันที่คืนนั้นฉันไม่ให้คุณทำใช่มั้ยคะ”
“ผมไม่ได้โกรธ” เขาขยับตัวถอยห่างออกไปอีกหนึ่งคืบ แต่กลิ่นหอมละมุนเหมือนกลิ่นดอกไม้ที่ลอยคลุ้งออกมาจากตัวเธอนั้นเปรียบเสมือนแม่เหล็กกำลังสูงที่ดึงดูดให้เขาอยากเข้าหา
“ถ้างั้นคุณเป็นอะไร” เธอขยับตัวตามมาอีก
มาร์คัสทำท่าจะถอยหนีอีกครั้งแต่ถูกเธอพูดดักคอเสียก่อน
“ถอยอีกแค่นิดเดียวคุณก็จะตกโซฟาแล้วนะคะ”
ชายหนุ่มเหลือบตาลงมองก็เห็นว่าตัวเองนั่งอยู่ชิดขอบโซฟาจนเกือบจะตกอยู่รอมร่อก็แอบเสียฟอร์ม “ผมไม่ได้โกรธคุณจริงๆ แต่ช่วงนี้มีงานสำคัญหลายอย่างที่ผมต้องเป็นคนตัดสินใจก็เลยไม่ค่อยมีเวลาให้คุณ” เขาลุกพรวดขึ้นแล้วก้าวถอยหลังหนีเธอไปหนึ่งก้าว
“ไปนอนในห้องด้วยกันนะคะมาร์ค ฉันเหงา ฉันไม่อยากนอนคนเดียวอีกแล้ว”
เธอวิงวอนเสียงแผ่วแววตาหม่นหมองดูน่าสงสารจนหนุ่มลูกครึ่งร่างสูงที่ยืนก้มหน้ามองเธออยู่อยากจะพุ่งตัวเข้ามากอดปลอบแต่ก็ต้องหักห้ามใจเพราะถ้าแตะต้องตัวเธอแม้แต่นิดเดียวเขาต้องตบะแตกแน่นอน
ไม่ใช่ว่าไม่อยากร่วมรักกับเธอ แต่เขาอยากให้ความสุขที่จะเกิดขึ้นมาจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่ายมากกว่า
“ก็ได้ ผมจะกลับไปนอนที่ห้องกับคุณ” ในที่สุดเขาก็ใจอ่อนตอบตกลง
เธอยิ้มดีใจแล้วยื่นมือออกไปให้เขาช่วยฉุดขึ้นจากโซฟา
เขามองมือเรียวเล็กอย่างชั่งใจเนิ่นนาน
“แค่จับมือก็ไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาวถามหน้าละห้อยทั้งที่ยังยื่นมือค้างไว้อยู่
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่ชอบ” มือใหญ่ยื่นไปฉุดมือเล็กให้ลุกขึ้นมาแล้วจูงมือพาเธอเดินกลับไปที่ห้องนอน
เอวารินบีบมือเข้ากับมือเขาพลางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาด้วยความอบอุ่นใจ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาเธอจะรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเสมอ
และทันใดนั้นเอง ก็มีภาพเหตุการณ์บางอย่างแวบเข้ามาในสมองของเอวาริน เธอเห็นภาพตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ผืนน้ำดำมืด ในวินาทีที่กำลังจะขาดอากาศหายใจและสติสัมปชัญญะกำลังจะดับวูบก็มีมือของใครบางคนที่เธอมองไม่เห็นหน้ายื่นเข้ามาจับมือเธอและฉุดดึงขึ้นเหนือน้ำ
ภาพที่เห็นทำให้เอวารินสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือเย็นเฉียบของเธอเผลอบีบกระชับมือมาร์คัสแน่นมากจนเขาตกใจ
“คุณเป็นอะไร” ร่างสูงก้มลงมองหน้าคนตัวเล็กกว่าแล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ประคองใบหน้าซีดเผือดของเธอให้เงยขึ้น
“ฉันเห็นภาพตัวเองกำลังจมน้ำ” เธอบอกเสียงสั่น จังหวะหัวใจเต้นระรัวด้วยตื่นตระหนก
“คุณจำได้แล้วเหรอ” มาร์คัสถามเสียงเบา บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่
“คุณถามแบบนี้แสดงว่าฉันเคยจมน้ำจริงๆ ใช่มั้ยคะ”
“ใช่”
“แล้วใครเป็นคนช่วยฉันขึ้นมา”
“ผมไง” เขาบอกพลางมองสบตาเธอลุ้นๆ “คุณลองนึกดูดีๆ สิว่าจำอะไรได้อีกบ้าง”
หญิงสาวหลับตาคิดทบทวนแล้วเห็นภาพตัวเองสำลักน้ำก่อนจะลืมตาขึ้นมาหลังจากที่ถูกมาร์คัสผายปอดให้ เธอเห็นตัวเองนอนตัวอ่อนเปลี้ยอยู่ริมแม่น้ำใต้สะพานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบตัวมืดสลัว ทว่าใบหน้าหล่อเหลาแบบไร้ที่ติของชายหนุ่มลูกครึ่งคนหนึ่งซึ่งลอยเด่นอยู่เหนือใบหน้าของเธอนั้นช่างแจ่มชัดเหลือเกิน
“มาร์ค...คุณเป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้” เธอรำพึงแผ่วเบา
“คุณจำอะไรได้อีกมั้ย”
หญิงสาวพยายามทบทวนความทรงจำอีกครั้งแต่ก็นึกไม่ออก ยิ่งพยายามคิดยิ่งปวดหัว “ฉันนึกอะไรไม่ออกแล้ว”
“ไม่เป็นไร คิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิด คืนนี้ดึกมากแล้วคุณนอนพักก่อนดีกว่า” มาร์คัสจะจับร่างเล็กให้นอนลงบนเตียงแต่เธอขืนตัวไว้
“ฉันยังไม่อยากนอนค่ะ ฉันอยากให้คุณช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้ฉันก่อน คุณต้องช่วยฉันนะคะ”
“ผมพร้อมจะช่วยเหลือคุณทุกอย่างอยู่แล้ว คุณอยากให้ผมทำอะไรก็บอกมาได้เลย”
“ฉันมาลองคิดดูแล้ว ที่คืนนั้นฉันไม่ยอมให้คุณสอดแทรกเข้ามาในตัวฉัน มันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับความทรงจำของฉันก็ได้ ฉันเลยคิดว่าเราต้องทำกันค่ะมาร์ค เผื่อฉันจะจำอะไรขึ้นมาได้มากกว่านี้”
“ลอจิกคุณย้อนแย้งในตัวเองนะ” เขาสับสนกับความคิดของเธอ “วันนั้นคุณกลัวผม แต่วันนี้กลับจะให้ผมทำ”
“ฉันไม่ได้กลัวคุณ ฉันแค่ตกใจและจำไม่ได้ว่าเราเคยทำแบบนั้นกันจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“ถ้าความจริงคือเราไม่เคยทำแบบนั้นกันและผมก็เป็นคนแปลกหน้าของคุณ คุณจะว่ายังไง” เขาถามเป็นนัย
“ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะเป็นคนแปลกหน้า ฉันรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยกับคุณตั้งแต่วันที่คุณขโมยจูบฉันที่เตียงคนไข้ในโรงพยาบาลแล้ว”
“บางเรื่องก็ไม่ต้องจำก็ได้” เขาพึมพำเก้อเขิน
“แล้วอีกอย่าง ถ้าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนคุณคงไม่พาฉันมาอยู่ที่บ้านแล้วก็ดูแลฉันอย่างดีอย่างนี้หรอก ฉันเชื่อว่าคุณเป็นสามีของฉันจริงๆ” ประโยคสุดท้ายนั้นเธอบอกอย่างหนักแน่น
มาร์คัสอ้ำอึ้งเหมือนน้ำท่วมปาก จะบอกความจริงตอนนี้ก็กลัวเธอโกรธ ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากโกหกเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“เราทำกันนะคะมาร์ค” เธอวิงวอนเสียงแผ่วหวิวพลางไล้ฝ่ามืออ่อนนุ่มไปตามกรอบหน้าคมสันของเขาแผ่วเบา “ไม่ใช่แค่เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำให้ฉัน แต่เพื่อความสุขของคุณเองด้วย ฉันรู้ว่าคุณต้องอดทนกับฉันมากขนาดไหน อย่าทรมานตัวเองอีกเลยนะคะมาร์ค ให้ฉันทำหน้าที่ภรรยาเพื่อคุณนะคะ”
มาร์คัสจับมือเรียวเล็กมาจูบหนักหน่วงที่กลางฝ่ามือพลางมองสบตาเธออย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอก “รอให้ความทรงจำทั้งหมดของคุณกลับคืนมาก่อนแล้วคุณค่อยตัดสินใจอีกทีว่ายังอยากทำมันอยู่หรือเปล่า”
“ฉันตอบคุณตอนนี้ได้เลยว่า ‘ฉันอยากทำ’ ค่ะ”