สองวันต่อมา หลี่ฝูหรงเดินทางกลับมาถึงจวนในที่สุด หลี่อวี้หลันไม่ได้ออกไปต้อนรับ ความจริงไม่มีใครออกไปต้อนรับนางอยู่แล้ว เพราะการกลับมาครานี้นางเป็นการกลับมาหลังจากถูกทำโทษให้กักตัวในอารามชีหนึ่งปี ตอนไปก็ถูกไล่ไปแบบมีความผิด ตอนกลับมายังจะมีเกียรติใดหลงเหลืออยู่อีกหรือ แม้แต่บ่าวไพร่ในจวนก็ยังไม่มีใครสนใจคุณหนูใหญ่ผู้นี้สักคน
“คุณหนูใหญ่ซูบผอมลงไปมากเลยเจ้าค่ะ แต่รูปโฉมก็ยังคงงดงามไม่เปลี่ยน… เอ่อ บ่าวหมายถึงแม้คุณหนูใหญ่จะผอมไปบ้างแต่ก็ยังพอดูได้อยู่เจ้าค่ะ” ไป๋เยาเล่าเรื่องของหลี่ฝูหรงให้คุณหนูของตนซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ฮวาหลีภายในเรือนหลันเซียงฟังอย่างออกรส นางรีบหลุบตาลง ท่าทางกระสับกระส่าย เพราะตนเผลอเอ่ยชมรูปโฉมคุณหนูใหญ่ต่อหน้าคุณหนูรองอีกแล้ว เมื่อปีก่อนตอนที่นางปากไวก็ถูกคุณหนูรองปาถ้วยชาใส่จนเกือบหัวร้างข้างแตก ครานี้ไม่รู้ว่าจะโดนแรงโทสะอันใดอีก
ทว่าหลังจากหลุบตารอรับโทษอยู่นานก็ยังไร้ความเคลื่อนไหว ไป๋เยาจึงเหลือบตาขึ้นมองคุณหนูรองของตน เห็นว่าใบหน้างามขาวผุดผ่องไม่ได้มีโทสะเลยสักนิด กลับมีสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
“คะ คุณหนู… คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ไป๋เยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขลาดเขลา
หลี่อวี้หลันพลันขมวดคิ้ว “กำลังคิดว่า ข้าควรไปหานางดีหรือไม่”
ไป๋เยาทำหน้าตะลึงงัน คุณหนูรองชิงชังคุณหนูใหญ่เพียงใดใครบ้างไม่รู้ ที่คุณหนูใหญ่ถูกลงโทษส่งตัวไปอารามชีเมื่อหนึ่งปีก่อนก็เป็นเพราะคุณหนูรองวางแผนใส่ร้ายป้ายสี ยามนี้คนก็กลับมาแล้ว คุณหนูรองไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักหายใจก็จะไปหาเรื่องอีกแล้วหรือ?
“เจ้าว่าอย่างไร ข้าควรไปหรือไม่?” หลี่อวี้หลันมิได้ล่วงรู้ความคิดของสาวใช้คนสนิท นางยังคงมีสีหน้าลังเลสับสน แววตาครุ่นคิดไม่ตก
“เรื่องนี้… บ่าวมิกล้าออกความเห็นเจ้าค่ะ” ไป๋เยาคุกเข่าอยู่บนพื้น หลุบตากล่าวต่อ “แต่ว่าคุณหนูใหญ่เพิ่งกลับถึงจวน ตอนนี้คงกำลังคารวะฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนฮุ่ยเซียง หากคุณหนูตามไปด้วยก็จะได้สังเกตท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยนะเจ้าคะ”
จวนหย่งผิงโหวแห่งนี้มีเจ้านายทั้งหมดสิบคน คนแรกคือนายท่านผู้เฒ่าหลี่วัยหกสิบปี อดีตแม่ทัพขั้นหนึ่งซึ่งลาออกจากตำแหน่งมานับสิบกว่าปีแล้ว ปัจจุบันใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบอยู่ภายในเรือนท้ายจวนโหว ชอบปลูกผัก รดน้ำต้นไม้ และไม่ก้าวก่ายเรื่องราชสำนักหรือเรือนหลัง
คนถัดมาคือฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ประมุขเรือนหลัง เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในเรือนหลัง
รองลงมาก็คือนายท่านโหวและโหวฮูหยิน หย่งผิงโหวมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม ดูแลเรื่องภายในกองทัพของราชสำนัก โหวฮูหยินหรือหรูซื่อเป็นฮูหยินใหญ่ดูแลทุกเรื่องภายในจวนโหว
ยังมี หลี่ซวนหยวน คุณชายใหญ่หรือโหวซื่อจื่อ บุตรชายคนโตของหย่งผิงโหวกับภรรยาเอกผู้ล่วงลับ ปัจจุบันอายุยี่สิบปี มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพรักษาเมือง และมีคุณชายรอง หลี่เซียวหย่วน บุตรชายคนรองอายุสิบหกปี กับ หลี่ซุนยวน คุณชายสามอายุแปดปี ทั้งสองล้วนเกิดจากภรรยาเอกคนปัจจุบัน เป็นพี่น้องร่วมอุทรกับหลี่อวี้หลัน
นอกจากนี้จวนโหวยังมีคุณหนูอีกสามคนเช่นกันซึ่งก็คือคุณหนูใหญ่หลี่ฝูหรง พี่น้องร่วมมารดากับคุณชายใหญ่อายุสิบเจ็ดปี คุณหนูรองหลี่อวี้หลัน บุตรีภรรยาเอกคนปัจจุบันอายุสิบห้าปี และหลี่อิงเหยา คุณหนูสามบุตรีอนุภรรยามีอายุสิบสี่ปี
ในต้นฉบับกล่าวถึงนายท่านผู้เฒ่าหลี่ว่าเป็นคนมีอุปนิสัยซื่อตรงองอาจเฉกเช่นชายชาติทหาร แม้จะปลดเกษียนแล้วแต่ก็ยังมีวรยุทธ์สูงส่ง มักจะฝึกดาบฝึกกระบี่อยู่ในสวนท้ายจวนทุกเช้า ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นเป็นสตรีตระกูลชั้นสูงที่ค่อนข้างเคร่งครัดกฎระเบียบ ตระกูลเดิมของนางเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รักและเอ็นดูคุณชายใหญ่กับคุณหนูใหญ่มาก เพราะตนเลี้ยงดูมากับมือนับตั้งแต่มารดาแท้ ๆ ของทั้งสองตายจากไปตอนคลอดหลี่ฝูหรง นางก็รับหลานทั้งสองที่ยังเล็กมาเลี้ยงดูที่เรือนจนเติบใหญ่
ส่วนกับหลี่อวี้หลันนั้น ท่านย่าผู้นี้มีเพียงความหมางเมินมอบให้ ด้วยเพราะนิสัยเอาแต่ใจและเจ้าอารมณ์ตั้งแต่เด็กของนาง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกปึ่งชาไม่อยากจะใส่ใจด้วยนัก
เมื่อนายบ่าวทั้งสองเดินมาถึงเรือนฮุ่ยเซียง บ่าวรับใช้หน้าเรือนวิ่งเข้าไปรายงาน ครู่ต่อมาจึงเชิญนางเข้าไป ตอนหลี่อวี้หลันเดินเข้ามาถึงห้องโถงด้านใน นางเห็นสตรีสูงวัยสวมอาภรณ์เนื้อดีหรูหราทว่าเรียบง่ายนั่งอยู่บนตั่งไม้ตำแหน่งเจ้าของเรือน สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าปึ่งชายามมองมาที่นาง หลี่อวี้หลันหลุบตาเดินเข้ามายอบกายคำนับด้วยท่วงท่างดงาม สงบนิ่งและมีมารยาทยิ่ง
“อวี้เอ๋อร์คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” เสียงของหลี่อวี้หลันก้องกังวานน่าฟัง ทั้งยังอ่อนน้อมและอ่อนหวานไร้แววเย่อหยิ่งอวดดีเหมือนที่ผ่านมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดสายตามองหลานสาวคนรองอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้นางได้ยินเรื่องอาการป่วยของหลี่อวี้หลันจากจางหมัวมัวบ่าวรับใช้คนสนิทมาบ้างแล้ว เห็นว่าตั้งแต่ฟื้นจากอาการป่วย บุคลิกและนิสัยของหลานสาวคนนี้ก็เปลี่ยนไป ทั้งเรียบร้อยและสำรวมมากขึ้น และยังเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนไม่ออกไปไหน ตอนแรกนางฟังแล้วไม่ทำใจอาจเชื่อได้ แต่เมื่อได้เห็นกับตาจึงอดกวาดตามองให้นานอีกหน่อยไม่ได้
“อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”
หลี่อวี้หลันคลี่ยิ้มบางเบา “หลานดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
นี่อย่างไรเล่า… หลานสาวคนนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงเสียด้วย หากเป็นเมื่อก่อนหลี่อวี้หลันไม่มีทางตอบกลับด้วยท่าทีสำรวมรู้ความเช่นนี้แน่ ทั้งยังคงสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้ดีและยังคลี่รอยยิ้มบางแบบนั้นด้วย
นางเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ