หมอหลวงจะว่าอย่างไรได้เล่า นอกจากเขียนเทียบยาบำรุงโลหิตให้นางแล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก
หลี่อวี้หลันถอดถอนใจหนึ่งคำรบ ชำเลืองตามองใบหน้าหล่อเหลาของพี่ชายคนรอง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและกำลังวังชายิ่ง นิสัยสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา ท่าทางองอาจห้าวหาญ สมเป็นบุตรหลานตระกูลนักรบอย่างแท้จริง
เนื้อเรื่องต้นฉบับหลังจากหลี่เซียวหย่วนสอบผ่านได้เข้าร่วมกองทัพภายใต้สังกัดของกรมทหารรักษาการณ์เมืองหลวงได้ไม่ถึงหนึ่งปีเขาก็ถูกคำสั่งให้ติดตามกองทัพไปเป็นกำลังเสริมรักษาเมืองฉืออินที่ชายแดนเหนือ
การถูกส่งตัวไปเมืองชายแดนเช่นนี้ไม่ต่างจากการถูกเนรเทศ หากไม่มีคำสั่งจากฮ่องเต้เขาก็ไม่สามารถกลับเมืองหลวงได้อีก และสาเหตุที่ทำให้เขาถูกคำสั่งย้ายราวกับฟ้าผ่าเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่านางร้ายหลี่อวี้หลันไปล่วงเกินองค์หญิงหนิงอันในงานเลี้ยงชมบุปผาของวังหลวง จึงสร้างความเคียดแค้นชิงชังให้แก่องค์หญิงหนิงอันเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าหลี่อวี้หลันมีพี่ชายที่รักใคร่เอ็นดูอยู่หนึ่งคน องค์หญิงหนิงอันคิดจะตัดแขนขานางจึงขอร้องให้ผิงกุ้ยเฟยพระมารดาใช้อำนาจส่งตัวหลี่เซียวหย่วนออกไปจากเมืองหลวง
หลังจากหลี่ซวนหย่วนประจำการอยู่ที่เมืองฉืออินไม่ถึงครึ่งปี ประตูเมืองก็ถูกแคว้นโม่เป่ยตีแตก ชาวเมืองนับหมื่นถูกสังหารเรียบ เหล่าทหารกล้าล้วนหลั่งโลหิตสละชีพเพื่อแผ่นดิน ยามที่ข่าวการตายของหลี่เซียวหย่วนถูกส่งกลับมาจวนโหว นางร้ายหลี่อวี้หลันไม่แม้แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด นางเพียงคุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณของพี่ชายเพียงคนเดียวผู้ที่รักใคร่เอ็นดูนางยิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไร้หัวใจสิ้นดี
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ ไยจู่ ๆ ก็ตาแดงได้เล่า? หรือว่าเจ้าเจ็บป่วยตรงไหน?” น้ำเสียงร้อนรนระคนกังวลใจเรียกดวงตาร้อนผ่าวฉ่ำวาวของหลี่อวี้หลันหันมอง ยิ่งเห็นความรักใคร่ห่วงใยอย่างจริงใจจากแววตาเขา หัวใจของนางก็ยิ่งเจ็บปวด
อวี้หลันหนออวี้หลัน ชั่วชีวิตของเจ้าช่างโชคดียิ่ง มีคนที่รักใคร่ห่วงใยเจ้ามากมายถึงเพียงนี้ เจ้ายังมิรู้จักผิดชอบชั่วดี วัน ๆ ทำแต่เรื่องเลวร้าย นำพาความตายมาสู่คนที่รักเจ้า พวกเขาต้องตายแทนเจ้า แต่เจ้ากลับหาได้สำนึกผิดไม่
ไม่สิ จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ ต้องโทษคนเขียนบทต่างหาก เพราะเจ้าถูกสร้างให้เป็นตัวร้ายซึ่งถูกกำหนดชะตาเอาไว้แล้วว่าต้องพบกับจุดจบแสนน่าอนาถเท่านั้น ตัวเจ้าเองก็คงจะหนีความตายอย่างน่าเวทนาไม่พ้นเช่นกัน
ช่างเถิด เรื่องเนื้อหาในต้นฉบับจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันแล้ว ยามนี้นางคือหลี่อวี้หลัน หากนางไม่ยอมเดินไปตามบทบาทนางร้ายเสียอย่าง ผู้ใดจะทำอะไรนางได้กัน
ก็แค่… ก็แค่กระอักโลหิตไม่ใช่หรือ
ช่างเถิด ๆ ค่อยหาหนทางแก้ไขภายหลังก็ได้
นางแย้มยิ้มสดใส ดวงตาเมล็ดซิ่งโค้งเรียวคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ดูอ่อนโยนนุ่มนวลอย่างที่สุด “น้องไม่ได้เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ เพียงแค่นึกถึงบทงิ้วน่าเศร้าเรื่องหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น”
หลี่เซียวหย่วนจับจ้องดวงหน้างดงามอ่อนหวานของน้องสาว นับตั้งแต่หลี่อวี้หลันป่วยหนักครั้งก่อน เขารู้สึกได้ว่าอุปนิสัยของน้องรองคนนี้เปลี่ยนไปมากราวกับเป็นคนละคน หลี่อวี้หลันที่มักเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ คำพูดคำจาแข็งกร้าวระคายหู สีหน้าบึ้งตึงไร้รอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว บัดนี้นางกลายเป็นคนสงบนิ่ง ใจเย็น ทั้งยังนุ่มนวลอ่อนหวาน น้ำเสียงยามเอ่ยคำก็ไพเราะน่าฟังราวกับนกขมิ้นขับขาน
ตอนแรกเขาก็ยังรู้สึกไม่ชินเท่าใดนัก ทว่านานวันเข้ากลับยิ่งรู้สึกรักใคร่เอ็นดูน้องสาวผู้นี้กว่าเดิมมากโข
เขาชอบหลี่อวี้หลันที่นุ่มนวลอ่อนหวานเช่นนี้อย่างยิ่ง
“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าอยากไปดูงิ้วกับพี่รองหรือไม่”
“ดูงิ้วหรือเจ้าคะ?” ดวงตากลมโตเปล่งประกายช้อนมองพี่ชายด้วยความสนใจ ตั้งแต่นางทะลุมิติเข้ามาในยุคโบราณ นางยังไม่เคยชมการแสดงงิ้วมาก่อน ในเมื่อโอกาสหยิบยื่นมาถึงมือเช่นนี้แล้วมีหรือนางจะไม่ยอมรับไว้
เมื่อเห็นความตื่นเต้นฉายออกมาจากแววตาน้องสาว หลี่เซียวหย่วนก็อดจะยกมือลูบศีรษะของนางด้วยความเอ็นดูไม่ได้ “อื้ม พี่รองได้ข่าวมาว่าที่หอน้ำชาไป๋จื่อเชิญคณะงิ้วอิ๋นโหรวที่เลื่องชื่อที่สุดในต้าหยวนมาทำการแสดงเป็นเวลาหนึ่งเดือน สหายร่วมสำนักบัณฑิตเคยไปชมมาครั้งหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่านักแสดงงิ้วเสียงไพเราะยิ่ง เจ้าอยากไปดูกับพี่รองหรือไม่?”
หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักรีบพยักหน้ารัวเร็ว น้ำเสียงหวานใสออดอ้อนออกมาโดยไม่รู้ตัว “ไปเจ้าค่ะ! น้องอยากไปเจ้าค่ะพี่รอง”
“ได้ เช่นนั้นวันพรุ่งพี่จะพาเจ้าไป” ชายหนุ่มแย้มยิ้มอ่อนโยน เหลือบมองสีท้องฟ้าด้านนอกเรือนพลางเอ่ย “นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว เจ้าคงหิวแล้วกระมัง พี่รองไม่ได้กลับเรือนหลายวัน มิสู้พวกเราพี่น้องไปกินอาหารด้วยกันที่เรือนท่านแม่ดีหรือไม่”
หลี่อวี้หลันเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนหันไปสั่งไป๋เยา “เจ้าให้คนไปแจ้งที่เรือนท่านแม่ว่าให้จัดอาหารเพิ่มสามที่ด้วย”
“สามที่หรือเจ้าคะคุณหนู” ไป๋เยาเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ นางมองคุณชายรองสลับกับคุณหนูของตน นับอย่างไรก็ได้แค่สองที่ไม่ใช่หรือ?
“ยังมีน้องเล็กของข้าอีกคน อย่าลืมส่งคนไปเชิญเขาด้วยเล่า”
อ้อ
ไป๋เยาแจ้งใจแล้ว นางพยักหน้ารับแล้วถอยตัวออกไป
ครู่ต่อมาสองพี่น้องก็ลุกขึ้นเดินออกจากเรือนหลันเซียงพร้อมกัน ตอนมาถึงหน้าเรือนเหอเซียงก็พบกับหลี่ซุนยวนพอดี เด็กน้อยวัยแปดขวบกำลังเดินนำบ่าวรับใช้ตัวน้อยเข้ามา เขาหยุดชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นพี่ชายและพี่สาวร่วมอุทรทั้งสองเดินมาด้วยกัน
“…”
เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วขณะหนึ่ง กับน้องชายคนนี้ หลี่อวี้หลันมักจะรู้สึกถึงความเย็นชาห่างเหินที่แผ่ออกมาจากรอบกายของเขาทุกครั้งที่พบกัน นางย่อมรู้ดีว่าหลี่ซุนยวนมิค่อยชอบหน้านาง คิดดูอีกทีก็ไม่แปลก เพราะหลี่อวี้หลันคนก่อนมักจะดูถูกเหยียดหยามและพูดจาร้ายกาจใส่หลี่ซุนยวนอยู่เสมอ นางถือตัวว่ามารดารักใคร่ตามใจซ้ำตนยังเป็นถึงบุตรีภรรยาเอกจวนโหวจึงชอบวางตัวสูงส่งเหนือพี่น้องทุกคน
นิสัยร้ายกาจเช่นนี้จะมิให้หลี่ซุนยวนชิงชังได้อย่างไร
“เจ้ามาแล้วหรือยวนเอ๋อร์ ดี ๆ พวกเราพี่น้องได้กินข้าวกันพร้อมหน้า ท่านแม่จะต้องดีใจมากเป็นแน่”
เป็นพี่ชายรองหลี่เซียวหย่วนที่ช่วยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดลง เขากอดไหล่น้องชายคนเล็กแล้วยื่นอีกมือไปดึงแขนน้องสาวคนรอง ก่อนพาคนทั้งสองเดินเข้าเรือนเหอเซียงไปพร้อมกัน