ทางด้านรถม้าหรูหราคันใหญ่ หลังจากถูกสั่งให้จอดกะทันหัน ชายหนุ่มซึ่งบัดนี้กลับมานั่งแผ่นหลังเหยียดตรงกำลังใช้ปลายกล้องยาสูบยกม่านหน้าต่างขึ้น ดวงตาหงส์คู่งามกวาดมองไปยันทิศทางที่เขาเห็นคนงามยืนอยู่เมื่อครู่ ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่าเสียแล้ว
คิ้วเรียวโค้งดั่งคันศรขมวดเพียงเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันขณะปล่อยม่านลง
“นายท่านต้องการจะสั่งอันใดหรือไม่ขอรับ” ชิงมู่ องครักษ์คนสนิทรั้งบังเ**ยนเข้าใกล้รถม้าเอ่ยถามผู้เป็นนาย หลังจากได้ยินคนด้านในส่งเสียงออกมาหนึ่งคำ รถม้าจึงเคลื่อนตัวไปต่อ
เสียงเคาะจากปลายกล้องยาสูบดังขึ้นเป็นจังหวะ อารมณ์สุนทรีย์ก่อนหน้านี้พลันเหือดหายไปหมด ร่างสูงทิ้งกายเอนลงบนเบาะพิงด้วยท่าทางเกียจคร้าน หวนนึกถึงหญิงงามสะคราญโฉมที่บังเอิญสบตากันเมื่อครู่แล้วพลันรู้สึกงุ่นง่านใจอย่างประหลาด
มือเรียวหยิบกล่องเหล็กใบเล็กขึ้นมาเท ‘ยาสงบจิต’ ลงบนเบ้ากล้องยาสูบ ก่อนจะยกปลายด้ามขึ้นคาบบนริมฝีปากเย็นชา สูดลมหายใจเข้าลึกพลางหลับตาลง ควันสีขาวขุ่นจาง ๆ ลอยคลุ้งกำจายอยู่ในอากาศ สายลมจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามาภายในพัดพาควันล่องลอยพลันสลายไป
ชิงมู่เหลียวมองควันสีขาวจาง ๆ ลอยคลุ้งออกมาจากตัวรถม้า สีหน้าพลันหนักอึ้ง ปกตินายท่านมิค่อยสูบบนรถม้า หากไม่มีเรื่องที่ทำให้จิตใจไม่สงบจริง ๆ ก็แทบจะไม่แตะต้องยาสงบจิตนั่นเลยด้วยซ้ำ เกรงว่ายามนี้นายท่านคงจะกำลังอารมณ์ไม่ดียิ่งกระมัง
.
.
.
ตำหนักบูรพา ณ วังหลวง
รัชทายาทเซวียนจื่อเฉินเงยหน้าขึ้นจากฎีกาในมือ พระเนตรเรียวคมหรี่มองร่างสูงที่กำลังเดินเชื่องช้าอืดอาดทว่าฝีเท้ามั่นคงเข้ามาในห้องทรงพระอักษร กลิ่นหอมเย็น ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของยาสมุนไพรลอยกระทบพระนาสิก พระพักตร์หล่อเหลาพลันบึ้งตึง
“เจ้าบาดเจ็บงั้นหรือ?” เมื่อครู่เขาเพิ่งได้รับรายงานจากราชองครักษ์ว่าเจิ้นกั๋วกงถูกลอบสังหารกลางเมืองหลวงอีกแล้ว หากนับดี ๆ นี่เป็นครั้งที่ห้าภายในรอบเจ็ดวันแล้วกระมัง
นั่นหมายความว่าคนผู้นี้โดนลอบสังหารแทบจะรายวันเลยไม่ใช่หรือ!
ทว่าคนถูกลอบสังหารรายวันกลับไม่ได้มีสีหน้าแยแส เขาทิ้งตัวนั่งลงบนตั่งไม้ฮวาหลี เอนกายพิงด้านหลังด้วยท่าทางเกียจคร้านอย่างยิ่งยวด
“อี้เฟิ่ง เจ้าอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วรึ คงไม่ใช่เพราะมือสังหารผู้นั้นหรอกกระมัง”
อี้เฟิ่งคือนามรองของจ้าวหลิงหรือเจิ้นกั๋วกงที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงล้วนเรียกขาน ยามนี้นอกจากคนสนิทเพียงไม่กี่คนที่แทบนับนิ้วได้ ก็ไม่มีผู้ใดเรียกขานเขาด้วยนามรองนี้อีกแล้ว แน่นอนว่ารัชทายาทคือหนึ่งในผู้ที่นับนิ้วได้ของเขา
“ก็แค่พวกลูกสุนัข ไยข้าต้องใส่ใจให้ระคายลูกตา”
คนทั้งสองถูกฮ่องเต้และฮองเฮาเลี้ยงดูมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัยจึงสนิทสนมกันไม่ต่างจากพี่น้องร่วมอุทร หรืออาจสนิทสนมกันเสียมากกว่าพี่น้องสายโลหิตเดียวกันแท้ ๆ ด้วยซ้ำ ทั้งคู่เชื่อใจและไว้ใจกันอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ตามลำพังจึงมักจะใช้สรรพนามอย่างเป็นกันเองเช่นนี้เสมอ
รัชทายาทนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ คิ้วคมเข้มดุจกระบี่เลิกขึ้นเล็กน้อย แม้เขาจะสงสัยเมื่อเห็นผู้ที่ตนห่วงใยดั่งน้องชายคล้ายมีเรื่องในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามหาความอันใดอีก คนผู้นี้จิตใจล้ำลึกยากจะหยั่งถึงเสียยิ่งกว่ามหาสมุทร แม้จะเติบโตมาด้วยกันดั่งพี่น้องก็หาใช่ว่าจะล่วงเกินได้
รอยยิ้มหยอกเย้าประดับบนดวงหน้างดงามหล่อเหลา น้ำเสียงเกียจคร้านหาวน้อย ๆ ขณะปิดเปลือกตาลงอย่างง่วงงุน “ท่านคงไม่ได้เรียกข้ามาเพื่อจะนั่งมองหรอกกระมัง ถึงรูปโฉมข้าจะงดงามเพียงใดก็แต่งให้ท่านไม่ได้หรอกนะพี่เฉิน”
รัชทายาท “…”
ไอ้เจ้าตัวเกียจคร้านผู้นี้ อย่าทำให้ข้าขนลุกได้หรือไม่!
หลังจากถลึงพระเนตรใส่คนบนตั่งไปหนึ่งที เขาก็คว้ากาสุราเดินมานั่งลงบนตั่งอีกตัวด้านข้างจ้าวหลิง รินสุราลงบนจอกสองใบก่อนหยิบจอกของตนขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
จ้าวหลิงเปิดเปลือกตาขึ้นมองข้างหนึ่ง เห็นคนที่ปกติชอบทำหน้าตาเคร่งขรึมจริงจังอยู่ตลอดเวลา ยามนี้กลับมานั่งร่ำสุรากลายเป็นผีขี้เมาอยู่ตรงหน้าเขาเสียได้ รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไปชั่วขณะ จึงกดฝืนความง่วงงุนยันตัวลุกขึ้นมานั่งเอนกายพิงบนหมอนตั่ง มือเรียวปิดปากหาวหนึ่งทีพลางหยิบจอกสุราขึ้นดื่มอย่างแช่มช้า
“ครั้งนี้เป็นคุณหนูสกุลใดอีกเล่า”
รัชทายาทชะงักจอกสุราในมือเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจหนึ่งคำรบ ชำเลืองสายตามองคนข้างกายที่มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนถอนหายใจออกมาเบา ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “คุณหนูสามสกุลหลิว”
“หืม?” จ้าวหลิงเลิกคิ้วเรียวขึ้น แววตาเปล่งประกายคล้ายได้ฟังเรื่องสนุก ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงเฉื่อยชาเกียจคร้านไม่เปลี่ยน “คราวนี้ถึงกับเป็นบุตรีคนที่สามของอัครเสนาบดีหลิวเชียวหรือ”
“อี้เฟิ่ง เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีความคิดจะแต่งงานตอนนี้ เสด็จแม่กับเสด็จย่าเองก็ทรงรับทราบ แต่ก็ยังพยายามแนะนำบุตรีสกุลนั้นสกุลนี้ให้ข้าอยู่เรื่อย ข้าล่ะหน่ายใจยิ่งนัก”
ความกลัดกลุ้มใจของรัชทายาทคงไม่มีผู้ใดรู้แจ้งแก่ใจดีเท่าจ้าวหลิงอีกแล้ว เพราะนับตั้งแต่เขาเข้าพิธีสวมกวานเมื่อสองปีก่อน ฮองเฮากับไทเฮาก็ทรงคล้ายว่าจะจริงจังกับเรื่องการแต่งตั้งพระชายารัชทายาทมากขึ้นทุกวัน จนเขาเริ่มจะรับมือไม่ไหวแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่าบุตรีคนที่สามของอัครเสนาบดีหลิวผู้นี้รูปโฉมงดงามกิริยามารยาทอ่อนหวานยิ่ง ท่านไม่ลองตรองดูสักหน่อยเล่า เผื่อจะต้องตาท่านก็ได้นะ” จ้าวหลิงเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ราวกับเมื่อครู่เขาไม่เคยจิตใจว้าวุ่นจนต้องใช้ยาระงับมาก่อน
แน่ล่ะ เรื่องกลัดกลุ้มใจเกี่ยวกับการแต่งงานของรัชทายาทถือเป็นเรื่องเบิกบานสำราญใจอีกหนึ่งเรื่องของเขานี่
รัชทายาทกำจอกสุราแน่น ถลึงพระเนตรที่เริ่มเรื่อแดงมองจ้าวหลิง น้ำเสียงที่เอ่ยเจือแววประชดประชันยิ่ง “ข้ามิได้ชมชอบคนงามจนเก็บสะสมเอาไว้เต็มจวนเช่นเจ้านะ แต่ถ้าหากเจ้าคิดว่าคุณหนูสามสกุลหลิวงดงามยิ่ง เช่นนั้นข้าไปขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อให้เจ้าวันพรุ่งเลยดีหรือไม่?”
ดวงตาหงส์คู่งามแฝงรอยยิ้มจาง ๆ ยกฝ่ามือปิดปากหาวอย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ท่าน ‘แก่’ กว่าข้าตั้งสองปี จะให้ข้าแต่งก่อนได้อย่างไร ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าฝ่าบาทยึดถือเรื่องลำดับอาวุโสยิ่งกว่าผู้ใด หากท่านไปขอพระราชทานสมรสให้ข้าจริง เกรงว่าผู้ที่ฝ่าบาทจะออกสมรสพระราชทานให้คงไม่ใช่ข้าเป็นแน่”
รัชทายาท “…”
ยามนี้เขาโดนคำว่า ‘แก่’ กระแทกพระพักตร์จนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกไปแล้ว!