@คฤหาสน์หลังใหญ่
“จอดหน้าบ้านหลังใหญ่ๆเลยค่ะคุณลุง” เสียงหวานเอ่ยบอกลุงคนขับแท็กซี่ด้วยตื่นเต้นที่ได้กลับมาประเทศไทยหลังจากที่เธอต้องไปเรียนต่อเมืองนอกถึงเกือบปีครึ่ง
แต่เมื่อลงมาจากรถดวงตากลมก็มองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ทั้งเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นและเรื่องราวที่เธอไม่อยากจดจำ
“ไม่รู้ที่นี่จะเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว” หญิงสาวมองตรงไปด้านหน้าด้วยความคิดถึงจับใจ แล้วสองขาเรียวก็เดินลากกระเป๋าเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะได้เจอแม่
“แม่ต้องดีใจมากแน่ๆ ที่เรากลับมาแล้ว” หญิงสาวเอ่ยออกมายิ้มๆ
ตึกตึก สองขาเรียวเดินตรงไปยังเรือนหลังเล็กที่เคยอาศัยอยู่อย่างยิ้มแย้ม
แอดด~
“เซอร์ไพรส์ค่ะแม่” เธอเปิดประตูบ้านตะโกนออกไปสุดเสียง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าภายในบ้านมืดสนิท เธอเดินเข้าไปเปิดไฟทั่วบ้านก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนของแม่ตัวเองทันที
“แม่คะ พราวกลับมาแล้วนะคะ” เสียงหวานเอ่ยออกไป สายตาก็กวาดมองหาแม่ทั่วบ้านแต่ก็พบเพียงความเงียบสงัด
“แม่หายไปไหน” ความกังวลเริ่มแสดงออกบนใบหน้าสวย ไม่รอช้าเธอรีบเดินมาหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าที่วางอยู่หน้าประตูบ้านเพื่อจะโทรหาแม่ตัวเองทันที
“ไงลูกสาวคนโปรดของพ่อ” แต่ทว่ายังไม่ทันที่มือบางจะกดโทรออกหาแม่ตัวเอง เสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งรีบหันไปมองตามเสียงทันที
“ทรัช” เสียงหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบา เมื่อหันไปมองร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มที่เอ่ยทักทายขึ้น ทำให้ร่างเล็กเผลอมองใบหน้าหล่อที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนานนิ่งๆ แล้วจู่ๆภาพความทรงจำต่างๆ ก็ไหลย้อนกลับมา…
-ย้อนไป2ปีก่อน-
“ออกไปเลยนะ ไอ้พวกมิจฉาชีพ” หญิงสาวสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“คุณยายใจเย็นๆนะคะ พราวไม่ได้เป็นมิจฉาชีพนะคะ” ฉันเอ่ยบอกหญิงสูงวัยด้วยความใจเย็น แต่เขาก็ไม่ฟังฉันเลยแม้แต่น้อย
ปั่ก!
“อ๊ะ” เสียงหวานร้องออกมาเมื่อถูกของแข็งชนิดหนึ่งขว้างใส่บริเวณหน้าผากของฉันอย่างแรงด้วยความตั้งใจปาของคุณยาย
“ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น พวกบริษัทแบบนี้ฉันเจอมาเยอะแล้ว สุดท้ายก็หลอกให้ฉันเสียเงินฟรี”
ปัง! คุณยายพูดขึ้นก่อนจะปิดประตูใส่หน้าฉันทันทีโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ
“เฮ่อ” ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจเพราะนี่เป็นบ้านหลังที่สามแล้วที่ไล่ฉันอย่างกับหมูกับหมาแบบนี้ ขณะที่ฉันกำลังยืนท้อแท้อยู่นั้น คำพูดผู้จัดการที่เอ่ยบอกฉันก็ลอยเข้ามาในหัวทันที
‘พราวฟ้าท่านประธานสั่งมาว่าถ้าวันนี้เธอหาลูกค้ามาทำประกันกับเราไม่ได้ตามนับที่กำหนด เธอจะโดนไล่ออกนะ’
‘ละ ไล่ออกเลยเหรอคะผู้จัดการ’
‘ใช่ เพราะเธอทำงานกับเรามาเกือบปีแล้ว แต่หาลูกค้าได้เพียงแปดสิบคนต่อปีเท่านั้น ซึ่งเป้าหมายของบริษัทเราต้องการพนักงานที่หาลูกค้าได้ตามเป้าคือหนึ่งร้อยคนต่อปีหรือเกินกว่านั้น วันนี้ถือเป็นโอกาสสุดท้ายของเธอที่ฉันจะสามารถช่วยได้แล้วนะ ฉันเห็นว่าเธอเป็นคนเก่งนะพราวฟ้า ไม่งั้นฉันไม่รับเธอเข้ามาทำงานทั้งที่เธอยังเรียนไม่จบมหาลัยหรอกนะ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ฉันผิดหวัง เพราะถ้าเธอทำไม่ได้ฉันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้แล้วเหมือนกัน’ ผู้จัดการสาขาเอ่ยบอก
‘พราวจะทำให้ได้ค่ะ’
“ฉันต้องทำให้ได้ พราวสู้ๆ” ฉันพูดให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเดินออกมาจากหน้าบ้านของคุณยาย เพื่อจะไปหาลูกค้าท่านอื่นด้วยความตั้งใจ ซึ่งก็ไม่รู้จะต้องเจออะไรอีกบ้าง แต่ฉันก็เลี่ยงไม่ได้ ฉันต้องทำเพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของฉันแล้วจริงๆ
กริ๊งง ฉันเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งก่อนจะใช้มือกดออดหน้าบ้าน เพียงไม่นานเจ้าของบ้านก็เดินมาเปิดประตูให้ฉัน
“มาหาใครคะ”
“สวัสดีค่ะ พราวเป็นตัวแทนของบริษัทNND ประกันภัยนะคะ วันนี้พราวมีข้อเสนออยากแนะนำคุณลูกค้าค่ะ” ฉันเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฉันไม่สนใจหรอกนะ พอดีทำประกันไปแล้ว เธอกลับไปเถอะ”
ปัง!
เมื่อบ้านนี้ปิดประตูใส่ ฉันก็รีบเดินไปบ้านหลังต่อไปจนหมดหมู่บ้าน
ครืดด ครืดด~
ติ้ด
“สวัสดีค่ะผู้จัดการ” ฉันพูดขึ้นทันทีที่กดรับสาย
(พราวฟ้ากลับมาบริษัทได้แล้ว)
“ฉันขอเวลาอีกนิดได้ไหมคะ”
(ฉันให้เวลาเธอก่อนห้าโมงเย็น เธอต้องถึงบริษัท)
“ได้ค่ะๆ” หลังจากตอบกลับไปฉันรีบวางสายและเดินหาลูกค้าต่อไปทันทีอย่างไม่ลดละความพยายาม จนเวลาผ่านไป
17:10 น.
“เฮ่อๆ” ฉันยืนหอบหายใจอยู่หน้าบริษัทเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งไปยังห้องผู้จัดการทันที
แอดด
“ขอโทษที่มาช้าค่ะ”
“นั่งลง และเอาสัญญาลูกค้าที่เธอหาได้วันนี้มาให้ฉันดู”
“เอ่อ..นี่ค่ะ” ฉันยื่นให้ผู้จัดการอย่างไม่มั่นใจนัก
“สามคน” ผู้จัดการเอ่ยบอกพร้อมกับมองหน้าฉัน
“…” ฉันพยักหน้าตอบอย่างช้าๆ
“เธอมาช้ากว่ากำหนด แต่หาลูกค้าได้แค่สามคน”
“…” ฉันก้มหน้านิ่ง
“พราวฟ้า ฉันคงช่วยอะไรเธอไม่ได้แล้วแหละ เพราะวันนี้เธอหาไม่ได้ตามที่เราตกลงกันไว้ ฉันไล่เธอออก”
“แต่ผู้จัดการคะ ฉันพยายามสุดความสามารถแล้วนะคะ อย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ ฉันขอร้อง” ฉันพยายามพูดอ้อนวอนผู้จัดการทั้งน้ำตาคลอๆ
“คงจะไม่ได้ เพราะท่านประธานสั่งมาแล้ว เธอออกไปได้แล้ว” แล้วฉันก็ต้องจำใจเดินออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้
“ฮึก!” มือบางพยายามปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเพื่อไม่ให้มันดังออกมา ฉันเดินออกจากบริษัทอย่างล่องลอย เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้ฉันจะทำยังไงดี ฉันทำงานเป็นพนักงานขายประกันของบริษัทนี้มาหนึ่งปีแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่รับฉันเข้าทำงานในขณะที่ยังเรียนไม่จบมหาลัย เนื่องจากมีปัญหาครอบครัวและด้านการเงิน แต่ทว่าบริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทขายประกันที่ต้องทำยอดให้ได้เยอะๆถึงจะอยู่รอด ซึ่งต้องใช้การพูดหว่านล้อมค่อนข้างสูง แต่ฉันกลับเป็นคนที่พูดไม่เก่ง ทำให้ฉันไม่สามารถทำยอดให้ได้ตามเป้าของบริษัท และตอนนี้ฉันก็กลายเป็นคนตกงานในเวลาอันรวดเร็วอย่างที่ไม่ได้เตรียมใจหรือหางานอื่นสำรองไว้เลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปสักพัก
ฉันเดินมายืนอยู่หน้าบ้านหลังเล็กๆที่ย้ายมาอยู่ได้สองปีแล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับมันสักที ก่อนจะมองเข้าไปในบ้านด้วยแววตาท้อแท้อย่างไม่รู้จะบอกแม่ของฉันว่ายังไงดี
“เฮ่อ ยังไงแม่ก็ต้องรู้อยู่ดี” ฉันพึมพำขึ้นเบาๆก่อนจะทำใจเดินเข้ามาในบ้าน
โครม! ปั่ก!
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผิดปกติ ทำให้ฉันรีบวิ่งเข้าไปภายในบ้านทันทีก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นข้าวของต่างๆกระจัดกระจายเต็มพื้นบ้าน
“แม่” ฉันรีบเดินเข้าไปหาแม่ทันที
“มาแล้วเหรอพราวฟ้า เอาเงินมาจ่ายค่าบ้านซะดีๆ” ป้าเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นทันทีที่หันมาเห็นฉัน
“เอ่อ…ป้าคะ หนูขอเวลาอีกหนึ่งเดือนได้ไหมคะ” ฉันยกมือไหว้ป้าเจ้าของบ้านอย่างขอร้อง เพราะฉันไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าทั้งหมดตอนนี้จริงๆ เงินที่ได้จากการทำงานฉันเอาไปส่งบ้านเก่า ซึ่งเป็นสมบัติของพ่อ เพื่อจะไถ่บ้านออกมาจากธนาคารจนหมด ทำให้ฉันค้างค่าเช่ามาสามเดือนแล้ว
“แกผลัดฉันมาสามเดือนแล้วนะ ถ้าวันนี้ไม่ให้ก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉันซะ ฉันจะให้คนอื่นมาเช่า”
“ป้าคะ หนูขอร้อง ขอเวลาแค่เดือนเดียวนะคะ” ฉันเดินเข้าไปจับมือป้าพูดขึ้น แต่ป้าก็สะบัดมือออก
“ฉันให้เวลาพวกแกมามากเกินไปแล้ว ถ้าไม่มีจ่ายก็ออกไป” ป้าตวาดลั่นชี้มือไปทางประตูบ้าน
“ไม่ออกใช่ไหม ได้” เมื่อเห็นว่าฉันกับแม่ยังยืนนิ่ง ป้าก็เดินเข้ามากระชากแม่ฉันออกไปหน้าบ้านทันที
“โอ๊ย! / แม่” ฉันรีบวิ่งตามออกไปเพื่อจะช่วยแม่ ป้าผลักแม่ออกอย่างแรงจนล้มลงพื้นอยู่หน้าบ้าน
“แม่เป็นไรไหมคะ” ฉันรีบวิ่งเข้าไปประคองถามแม่ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“แม่ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร”
ปั่ก! แล้วป้าก็โยนข้าวของออกมาจนโดนหลังฉันเต็มๆ
“แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกนะ” แล้วป้าก็ปิดประตูใส่เราสองแม่ลูกทันที
“พราว เจ็บไหมลูก” แม่รีบเอ่ยถามขึ้น ฉันก็ส่ายหน้าออกไป
“พราวขอโทษนะคะแม่” ฉันพูดออกไปทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ ที่ทำให้แม่ลำบากแบบนี้
“ไม่เป็นไรลูก ไม่ใช่ความผิดของพราวเลยนะ” แม่ก็ลูบหัวฉันเบาๆเอ่ยออกมา ก่อนที่เราจะร้องไห้โผเข้ากอดกันอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตดี ทำไมชีวิตของเราสองคนแม่ลูกต้องเป็นแบบนี้ด้วย
บรื้นน~ จู่ๆแสงไฟจากรถคันหนึ่งที่กำลังขับมาทางเราสองคนก็สาดส่องเข้ามากระทบตาฉัน ทำให้ฉันต้องยกมือขึ้นมาบังไว้
เอี๊ยด! รถคนนั้นขับมาจอดตรงด้านหลังของแม่ ทำให้ฉันเอามือลงและมองไปยังรถคันนั้นอย่างสงสัย ก่อนที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งจะเดินลงมาจากรถมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเราสองคนแม่ลูก
“อยู่กันที่นี่เอง หาเจอสักทีนะ” เขาเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ ทำให้ฉันกับแม่ต่างมองเขาด้วยความสงสัย
“ลุกขึ้นก่อนเถอะ ถ้าให้คุยกันแบบนี้ผมเกรงว่าจะดูไม่ดีนะ” เขาเอ่ยขึ้นกับเราสองแม่ลูก แต่เราไม่ได้รู้จักกันเลยสักนิด แล้วเขามาพูดกับฉันและแม่ทำไมกัน
“คะ /คุณเป็นใครเหรอคะ” แม่และฉันต่างเอ่ยออกไปพร้อมกันด้วยความงุนงง แต่ก็ยอมลุกขึ้นตามที่เขาบอก
“ผมชื่อธานิน เป็นรุ่นน้องของพี่ตราดุลย์” คำพูดของเขาทำให้ฉันกับแม่หันมามองหน้ากัน
“รุ่นน้องพ่องั้นเหรอคะ” ฉันเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไป เพราะพ่อไม่เคยพูดถึงคุณอาคนนี้มาก่อนเลย
“ใช่แล้ว คุณกับลูกอาจจะไม่รู้จักผม เพราะผมบินไปทำงานต่างประเทศบ่อยทำให้ผมกับพี่ตราดุลย์ไม่ค่อยได้เจอกัน”
“งั้นเหรอคะ”
“ใช่แล้ว ทันทีที่ผมรู้เรื่องของครอบครัวคุณรวมถึงการเสียชีวิตของพี่ตราดุลย์ ผมก็รีบตามหาคุณและลูกมาตลอดเลยนะ จนวันนี้เราก็ได้เจอกันสักที” คุณอาพูดขึ้น ทำให้ฉันนึกถึงวันที่พ่อโดนผู้ถือหุ้นในบริษัทโกงจนเราหมดตัว บ้านถูกธนาคารยึดไปเพราะพ่อเอาบ้านไปจำนองไว้เพื่อมาพยุงบริษัทแต่สุดท้ายพวกคนโกงก็เอาทุกอย่างของครอบครัวเราไปจนหมด ทำให้พ่อช็อตจนหัวใจวายและไม่นานพ่อก็เสียชีวิตทิ้งฉันกับแม่ไป ทำให้เราสองแม่ลูกต้องออกจากบ้านหลังใหญ่โตที่เคยอยู่มาตั้งแต่เด็กและมาเช่าบ้านหลังเล็กๆอยู่ และฉันต้องดรอปเรียนออกมาหางานทำ ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาสองปีแล้ว
“ตามหาเราสองคนทำไมเหรอคะ” ฉันถามออกไปอย่างไม่เข้าใจคุณอาเลยจริงๆ
“ผมรู้ว่าตอนนี้พวกคุณกำลังลำบาก ผมอยากจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ” คุณอาธานินพูดขึ้นเสียงเรียบแต่สีหน้าจริงจัง
“ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่ได้ลำบากอะไร” ฉันพูดออกไปทันที
“อย่าปฏิเสธอาเลยนะ อาอยากช่วยหนูกับแม่จริงๆ”
“ทำไมคุณอาถึงอยากช่วยพวกเราคะ” ฉันถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เราก็ไม่ได้รู้จักกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่จู่ๆเขากลับบอกอยากช่วยเหลือเราสองคน ฉันไม่เข้าใจคุณอาคนนี้เลยจริงๆว่าเขาต้องการอะไรจากเรากันแน่
“เพราะพ่อของหนูมีบุญคุณกับอามากและอาเคยสัญญาไว้ว่าวันหนึ่งจะตอบแทนทุกอย่าง”
“แต่คุณพ่อเสียไปแล้ว คุณอาไม่ต้องตอบแทนอะไรแล้วล่ะค่ะ” ฉันพูดออกไป
“แต่หนูกับแม่ยังอยู่และทั้งสองคนก็เป็นคนที่พี่ตราดุลย์รักมาก ให้อาช่วยเหลือเถอะนะ”
“แต่เราสองคนดูแลตัวเองได้ค่ะ” ฉันปฏิเสธออกไป เพราะเกรงใจคุณอามากๆและเราก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
“นภา พราวฟ้า ถ้าชีวิตนี้ผมไม่ได้ตอบแทนบุญคุณที่มีต่อพี่ตราดุลย์ผมคงนอนตายตาไม่หลับ”
“ขอร้องล่ะนะ ขอให้ผมได้ช่วยเหลือคุณสองคนแม่ลูกเถอะนะ พี่ตราดุลย์เคยช่วยเหลือผมไว้มากจริงๆ” คุณอาธานินเอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นๆ น้ำตาคลอขึ้นมา ฉันไม่รู้ว่าคุณอาและพ่อเคยช่วยเหลืออะไรกันไว้ แต่จากท่าทางและคำพูดของคุณอาคงเป็นเรื่องที่ใหญ่มากจริงๆที่พ่อช่วยไว้
“แต่เราสองคนเกรงใจค่ะ” แม่ฉันเป็นคนเอ่ยออกไป
“ผมจะไม่ทำให้คุณสองคนต้องรู้สึกอึดอัด แต่ขอแค่ให้ผมได้ยื่นมือเข้าไปช่วยก็พอ”
“…” ฉันกับแม่ก็เงียบอย่างไม่รู้ว่าควรตอบยังไง
“คืนนี้พวกคุณไม่รู้จะไปอยู่ไหน ยังไงไปอยู่บ้านผมก่อนดีกว่านะ”
“แต่..” ยังไม่ทันที่แม่จะพูดอะไรออกไปจนจบประโยค
“ผมจะดูแลคุณกับลูกอย่างดี อย่าปฏิเสธผมเลยนะ ขอให้ผมได้ทำหน้าที่รุ่นน้องที่ดีให้พี่ตราดุลย์สักครั้ง”
“…”
“หรือพวกคุณจะให้ผมกราบก็ได้นะ เพื่อให้คุณยอมให้ผมได้ช่วยเหลือและได้ตอบแทนบุญคุณพี่ตราดุลย์” แล้วคุณอาก็ทำท่าจะก้มลงกราบพวกเราทันที
“มะ ไม่ต้องค่ะ” ฉันกับแม่ก็รีบร้องห้ามไว้ด้วยความรวดเร็วอย่างรู้สึกไม่ดี
“ผมจะกราบเพื่อให้คุณสองคนยอมไปกับผม” แล้วคุณอาก็ทำท่าจะกราบเราสองคนอีกครั้ง
“พวกเรายอมแล้วค่ะๆ ไม่ต้องถึงขนาดกราบกันหรอกค่ะ” แม่รีบเอ่ยบอกออกไป ทำให้คุณอาหยุดชะงักก่อนจะยืดตัวตรงและยิ้มออกมาเล็กน้อย
“งั้นเชิญขึ้นรถเลย” แล้วคุณอาก็เอ่ยบอกให้เราขึ้นรถ ซึ่งท่านก็เดินนำไปก่อนจะหันมามองเราสองคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้วยสายตาอ้อนวอน ทำให้ฉันกับแม่จำใจต้องเดินตามมาขึ้นรถด้วยท่าทีเกร็งๆอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนที่คนขับรถจะขับออกไปทันที
@คฤหาสน์หลังใหญ่
บรื้นน~
เสียงรถหรูขับเข้ามาจอดภายในบ้านหลังใหญ่ด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่คนบนรถจะเดินลงมาจากรถด้วยท่าทีสดใส