ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของเช้าวันพระ ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาต่างมุ่งตรงเดินเข้ามาทำบุญในวัด เช่นเดียวหญิงสาวตัวเล็กในชุดผ้าฝ้ายสีขาวนวลพอดีตัว ด้านบนมีผ้าสไบผืนเล็กสีขาวคาดทับไว้อีกชั้น ส่วนด้านล่างเป็นกระโปรงสีขาวยาวถึงตาตุ่ม ทรงผมสีน้ำตาลธรรมชาติยาวสลวยที่ถูกมัดรวบเอาไว้แบบรีบๆ
มือเรียวยกขึ้นดันแว่นตาทรงกลมที่เสริมให้ใบหน้าสวยดูน่ารักน่าเอ็นดูให้เข้าที่ อดไม่ได้ที่คนที่เดินเข้ามาในวัดแห่งนี้จะหยุดแวะทักทายเธอ เพราะนอกจากความน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว สาวน้อยคนนี้ยังเป็นลูกสาวของแม่ชีที่อาศัยอยู่ยังวัดแห่งนี้ ทำให้หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเธอมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กสาววัยรุ่น
กรุณา กำลังก้าวเท้าด้วยความมั่นคงยกอุปกรณ์ในครัวไม่ว่าจะเป็น ถ้วย จาน หรือโถ่ใส่ข้าวให้กับผู้คนที่เข้ามาทำบุญในวัดแห่งนี้
“มาช่วยแม่ชีอีกแล้วเหรอหนูณา”
“ค่ะ วันนี้คุณป้าก็มาด้วยเหรอคะ ครั้งที่แล้วณาไม่เห็นเลย”
“ครั้งที่แล้วป้าบินไปต่างประเทศมานะ ก็เลยไม่ได้มาร่วมงานบุญด้วย แต่คราวนี้ป้ามาแบบจัดเต็มเลยนะ”
“จะเต็มสักแค่ไหนกันเชียว ฉันว่าจะบริจาคสร้างกำแพงวัดสักหนึ่งแสน หนูณาว่าดีมั้ย”
“งั้นเหรอ ฉันว่าจะสร้างโบสถ์นะคราวนี้ สักเท่าไรดีนะ”
เสียงของเหล่าคุณนายกระเป๋าหนักสองคนยืนขิงกันไปมาเรื่องเงินที่จะใช้ทำบุญ เธอจึงได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ให้กับหญิงสาววัยกลางคนทั้งคู่ เพราะเห็นแบบนี้จนชินตาในทุกงานบุญที่วัดจัดขึ้น
“คุณป้าทั้งสองค่ะ ณาว่าเข้าไปนั่งด้านในกันก่อนดีมั้ย นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้วค่ะ”
กรุณารีบห้ามปรามทั้งคู่ก่อนที่เรื่องมันจะใหญ่บานปลายกลายเป็นการตบตีกันแทนที่จะได้ทำบุญ
“ดีนะที่หนูณาห้ามฉันไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นเธอกับฉันได้เห็นดีกันแน่”
“มาพูดให้คนอื่นเขากลัว อย่าเก่งแต่ปากสิคะคุณนายเพ็ญ”
“ณาว่าพอกันแค่นี้เถอะนะคะ”
กรุณาเดินอ้อมโต๊ะที่ขวางกั้นระหว่างเธอกับหญิงวัยกลางคนทั้งสองออกมายืนตรงหน้าทั้งคู่ ก่อนที่ทั้งสองเมินหน้าไปคนละฝั่งด้วยความเอือมระอาซึ่งกันและกัน
“เอาเป็นว่าป้าเห็นแก่หนูณา ครั้งนี้จะปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน”
ประโยคที่เธอได้ยินจนคุ้นชินเป็นอย่างดี หลังการทะเลาะจบลงทั้งคู่ก็สะบัดตัวแยกย้ายกันไปเหมือนเดิมทุกครั้ง เธอได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความไม่คิดอะไรและกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
กรุณาเข้ามาช่วยงานที่วัดเป็นประจำตั้งแต่สมัยมัธยม ในตอนแรกพ่อของเธอเลือกที่จะละทางโลกไปบวชเป็นพระก่อน ตอนนั้นเธอน่าจะอยู่มอสี่เห็นจะได้ พอเธอจบมอหก แม่ของเธอก็อยากปล่อยวางอีกคน จึงมาบวชเป็นแม่ชีที่วัดแห่งเดียวกับพ่อ ทำให้ในทุกวันของตอนเช้าหรือหลังเลิกเรียนเธอมักจะมาสิงตัวอ่านหนังสืออยู่ที่วัด หรือบางครั้งก็ร่วมปฏิบัติธรรมกับทางวัดเป็นประจำ
เธออยู่ช่วยงานที่วัดจนเวลาล่วงเลยถึงเก้าโมงเช้า เสียงของคนเป็นแม่ก็ดังขึ้นส่งสัญญาณเตือนจากด้านหลังว่าเธอจะต้องไปเรียนคาบแรกที่มหาวิทยาลัยได้แล้ว ทำให้เธอได้สติรีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดนักศึกษาในห้องน้ำแล้วกลับมาหยิบกระเป๋าผ้าใบเก่าที่ใช้เป็นประจำ พร้อมกับหนังสืออีกสองสามเล่มที่ต้องใช้เข้าเรียนในวันนี้
“ขอบคุณนะคะที่เตือน เรียนเสร็จณาจะรีบกลับมาช่วยนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกลูกกลับไปพักที่บ้านได้เลย”
“ก็ได้ค่ะ” กรุณายกมือขึ้นแนบอกไหว้ลาคนเป็นแม่ก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งออกไปรอรถเมล์ที่ป้ายเหมือนทุกวัน
รอไม่นานรถเมล์ก็มาจอดเทียบท่า เธอก้าวขาขึ้นไปด้วยความเร่งรีบ บนรถเมล์คนค่อนข้างเยอะบวกกับเธอไม่ทันระวังทำให้ชนเข้ากับแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยเสื้อช็อปสีแดงอีกที
“อะ! ขอโทษค่ะ” เธอกล่าวคำขอโทษ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพื่อเป็นมารยาท
ใบหน้าเรียบนิ่งเคร่งขรึม ขยับปากเหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมาแต่กลับชะงักลงแทน ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มอมชมพู ทำให้หัวใจของเธอเต้นตึกตัก ไหนจะร่างกายที่สมส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะตอนนี้เขาจ้องเธอด้วยสายตาไม่พอใจเป็นที่สุด
กรุณาเห็นแบบนั้นก็รีบก้มหน้ามองพื้นเพราะไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย เธออยากจะเดินไปยืนตรงอื่นแต่สภาพที่แออัดบนรถเมล์ทำให้ขยับได้ลำบาก จึงได้แต่ทำใจแล้วยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป