คราวนี้พงศ์เทพไม่ปฏิเสธอีกต่อไปแล้ว เขาดื่มลงไปอย่างเชื่อฟังเลย อุไรพรก็มองไปที่ใบหน้าของเขาอย่างพออกพอใจ
“จะมองยังไงก็ไม่เบื่อเลย ติดแค่ผอมแห้งเกินไปจริง ๆ ถ้าเกิดมีกล้ามหน้าท้องมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะดี”
กาญจนาที่เข้ามาสอดส่องสถานการณ์เผลอได้ยินบทสนทนาเข้าถึงกับต้องหยุดฝีเท้า จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ตราบใดที่อุไรไม่ถือชังรังเกียจพงศ์เทพ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีกันถ้วนหน้า
พออุไรพรป้อนยาเสร็จออกมาจากห้อง ถึงพบว่ากาญจนาและดุจเดือนยังคงรอเธออยู่
“คุณแม่ทั้งสองนี่ บอกให้พวกคุณกินกันไปก่อนไม่ใช่หรือ? รอหนูทําไมกัน เดี๋ยวอาหารก็เย็นหมดหรอก”
กาญจนายิ้มแล้วยิ้มอีก
“เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ พูดอันใดเช่นนั้นเล่า แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นคนคอยดูแลพงศ์เทพมาตลอด ตอนนี้มีอุไรมาอยู่ด้วย ฉันยิ่งมีความสุขซะอีก”
แม้จะเป็นเพียงแค่โต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง แต่เมื่อทั้งสามคนนั่งรวมตัวอยู่ด้วยกันก็รู้สึกอุ่นอกอุ่นใจอย่างหาที่ติมิได้ นี่เป็นความรู้สึกที่ดุจเดือนไม่เคยได้แม้แต่จะสัมผัสมาก่อน ครานี้เธอได้แต่รู้สึกชื่นใจที่เมื่อตอนนั้นเชื่อฟังสิ่งที่ลูกสาวของเธอได้บอกเอาไว้ ให้อยู่ให้ห่างจากปีศาจตนนั้น
ในยามเช้าวันรุ่งขึ้นดุจเดือนตื่นขึ้นที่ลานบ้าน เธอกำลังเตรียมตัวลงไปทำไร่ ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหว่านเมล็ดพอดี แล้วตระกูลจิรพิทยาวงษ์ยังมีที่ดินอยู่อีกสองไร่ ถ้าปล่อยให้รกร้างต่อไปคงน่าเสียดายแย่
แต่ก่อนกาญจนาไม่ค่อยมีเวลาไปดูแลที่ดินทั้งสองไร่นี้ เพราะว่าต้องเอาเวลาไปคอยดูแลพงศ์เทพ ถ้าเกิดว่าได้ใช้ผืนไร่นี้ ปลูกพวกผักพวกแตงต่างๆ ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเอาเสียเลย ร้านค้าของตระกูลภายในตัวเมืองเองก็ปล่อยให้ว่างเอาไว้เช่นกัน มีแค่เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวเพียงเท่านั้นถึงได้มีการตั้งแผงขายพวกผักผลไม้
รอเธอจัดการกับเนื้อกวางนี้ให้เรียบร้อยก็ถึงเวลาพอดี เมื่อไปถึงก็ไม่ต้องหาที่ตั้งแผงขายของแล้ว
กาญจนามองทั้งสองแม่ลูกกําลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก แล้วจึงรีบรุดขึ้นไปหยิบอุปกรณ์จะตามทั้งสองไป
“คุณแม่ยาย กำลังจะทําอะไรน่ะ รอฉันหน่อยสิ เดี๋ยวฉันจะลงไปในไร่ด้วยกันกับคุณ”
ใครจะไปรู้ว่าดุจเดือนจะโบกมือปัดปฏิเสธ
“ในตัวบ้านยังไงก็ต้องมีคนคอยเฝ้าดู เธออยู่ในบ้านคอยดูแลพงศ์เทพไปเถอะ”
กาญจนาหันไปมองอุไรพรที่มีทีท่าพร้อมที่จะออกไปข้างนอกอยู่ตลอดเวลา และพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“ตอนนี้ออกเรือนจนมีสะใภ้เข้ามาอยู่ด้วยแล้ว จะต้องการให้แม่สามีอย่างฉันดูแลไปทำไม อุไรอยู่ที่บ้านเถอะ”
อุไรพรไม่รู้ว่าจะแย้งต่อไปอย่างไร คอยเฝ้าดูแลสามีของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลจริง ๆ แต่ใจจริงของเธอคือไม่อยากอยู่แต่ในบ้านเพื่อคอยดูแลสามีและลูก ๆ เพียงอย่างเดียว เธอยังคงมีความฝันที่อยากจะร่ํารวย
เดิมทีแล้วเมื่อวันก่อนกาญจนามีความกังวลเล็กน้อย เพราะลูกชายของเธอยังไงซะก็เป็นคนที่ใกล้จะหมดลมหายใจ ถึงแม้ว่าหน้าตาของอุไรอาจจะดูไม่ค่อยได้ แต่ยังไงก็คงจะยังดีกว่าไอ้ลูกขี้โรคที่สาวบ้านไหนก็รังเกียจอยู่แล้วล่ะ แต่คืนก่อนเมื่อเธอได้ไปเห็นท่าทางของอุไรพรเช่นนั้น เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
เธอรู้สึกวางใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ปล่อยให้อุไรเป็นคนคอยดูแลลูกชายของเธอ
“อุไรรีบไปซะสิ งานหยาบ ๆ แบบนี้สาวน้อยอย่างหนูทําน้อยหน่อยแหละดีแล้ว หนูไปคอยจับตาดูนายคนอ่อนแอนั่นสิ ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะเป็นเรื่องเอา”
เป็นความจริงที่แม้ว่าจะผ่านพ้นวันคืนที่ยากลําบากมาเป็นเวลานาน แต่มือของอุไรพรก็ยังคงผอมเพรียวเรียวบาง ผิวกายก็ยังคงเรียบเนียนและบอบบาง ดูไปก็เหมือนเป็นหญิงสาวที่อยู่มาอย่างสุขสบาย ไม่เคยต้องทำงานหนักมาก่อนเลย
ประกอบกับเมื่อวานที่เพิ่งทานยาเสริมความสวยเข้าไปก็ยิ่งแล้วใหญ่
อุไรพรผงกหน้าอย่างจนใจ วางจอบที่แบกไว้อยู่บนหลัง มองหลังของกาญจนาและดุจเดือนที่ค่อย ๆ ห่างลับจากสายตาไป เธอทอดถอนใจ ตัวเธอจะเอาแต่ว่างงานอยู่แต่บ้านไม่ได้หรอกนะ
ไม่อย่างงั้นปัญหาค่าใช้จ่ายของทุกคนในบ้านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร เธอเริ่มจากต้มยาและนำไปป้อนให้กับพงศ์เทพ จากนั้นจึงเริ่มลงมือเก็บกวาดห้อง
จะออกล่าสัตว์ป่าไปตลอดก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ส่วนพื้นที่สองไร่นั้นไม่สามารถปลูกอะไรได้มากนัก แต่เมื่อนึกถึงฝีมือการปักลายผ้าของดุจเดือน ในสมองของเธอก็เกิดประกายความคิดขึ้นมา
ถ้าเกิดว่าลองเปิดร้านเสื้อผ้าสักร้านหนึ่งล่ะ? แม้ว่าในหมู่บ้านของพวกเธอจะไม่ค่อยมีคนเอาเงินไปใช้จ่ายกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสักเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าเป็นพวกครอบครัวใหญ่ที่มีฐานะในตัวเมืองก็อาจจะเป็นไปได้
คุณนายพวกนี้ชอบความทันสมัยเป็นที่สุด ส่วนตัวเธอก็รับผิดชอบออกแบบเสื้อผ้า เสริมด้วยฝีมือของดุจเดืิอน จะต้องได้รับความชื่นชอบจากทุกคนเป็นแน่
เธอนอนวาดภาพอยู่อย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ภายในห้องเรือนหอ เธอวาดภาพไปพร้อมทั้งใช้ความคิดไปพลาง ๆ
“ฉันว่าคุณรีบตื่นขึ้นมาเสียทีเถอะ ถ้าฉันไม่สามารถทําให้คุณตื่นขึ้นมาได้ แม่ยายจะเสียใจขนาดไหนกัน”
ในตอนนี้เธอหวังเพียงให้พงศ์เทพรีบตื่นขึ้นมา ในบ้านนี้ก็จะได้มีผู้ชายสักคน และเธอก็จะได้ไม่ต้องคอยดูแลเขาอยู่ที่บ้านทุกวันอีกต่อไป
เมื่อได้ยินเสียงสาวน้อยของตัวเอง เริ่มพูดสิ่งที่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจขึ้นมาอีกแล้ว พงศ์เทพก็ตั้งสติเพื่อที่จะทําความเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ
“ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นคนนิสัยยังไง ทั้งสองชีวิตของฉันรวมเข้าด้วยกัน ก็ยังไม่เคยมีความรักเลยสักครั้ง ใครจะไปคิดว่าอยู่ ๆ ก็ต้องแต่งงานเลยแบบนี้”
พงศ์เทพหน้านิ่วขมวดคิ้ว สองชีวิตหมายความว่าอะไร แล้วยังเรื่องมีความรักอะไรนี่อีก ความปรารถนาที่อยากจะตื่นขึ้นมาของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เดิมทีร่างกายเขาเองต้องทนทรมานมานานขนาดนี้แล้ว แต่ยังไงอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย แถมเขายังได้ยินเสียงพูดคุยกันของคุณแม่และคุณหมอ ว่าชีวิตของเขาจะต้องจากไปในไม่ช้า แต่ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับสาวน้อยคนนี้ความสุขก็เข้ามามาเยือน
เดิมทีเขาไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว แต่เมื่อมีอุไรพรเข้ามาในชีวิต เขาพบว่าอาการเจ็บป่วยก็น้อยลงเรื่อย ๆ ความเจ็บปวดทิ่มแทงในใจที่เคยเกิดขึ้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และยังมีคำพูดคำจาของอุไรพรที่ฟังดูช่างน่าสนใจ เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะตื่นขึ้นมาดูสักหน่อย
อยากดูสักหน่อยว่าผู้หญิงที่พูดพวกคำแปลก ๆ ออกมามากมายขนาดนั้น จะหน้าตาเป็นอย่างไร และจะขอดูสักหน่อยว่าผู้หญิงที่คุณหมอบอกว่าหน้าตาอัปลักษณ์เหลือคณานั้น จะอัปลักษณ์ได้ถึงขนาดไหนกัน
อุไรพรไม่รู้เลยว่าในหัวของพงศ์เทพมีความคิดมากมายถึงขนาดนี้ เธอกำลังมองภาพผลงานที่เธอเพิ่งวาดออกมา และขมวดคิ้วครุ่นคิด
ภาพวาดภาพนี้มองดูแล้ว ค่อนข้างน่าเวทนาจนทนดูไม่ได้จริงๆ อาจจะแค่ต้องวาดรายละเอียดออกมาก็พอแล้วสินะ ว่าแต่ว่าในตอนนี้ทั้งดุจเดือนและกาญจนาต่างก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับพื้นไร่ ก็ไม่รู้ว่าดุจเดือนจะมีเวลามาตัดเย็บเสื้อผ้าหรือเปล่า
เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว อุไรพรก็ลุกขึ้นไปทําอาหารง่าย ๆ และหิ้วไปในไร่ คุณแม่ทั้งสองที่ยุ่งจนเหงื่อออกเต็ม กําลังถือขนมเปี๊ยะแข็ง ๆ กินเพื่อประทังความหิว
“แม่ ๆ จ๋า รีบมากินข้าวกันเร็ว”
กาญจนามองมาที่เธออย่างประหลาดใจ
“ ทำไมเธอถึงได้หาเรื่องให้ตัวเองต้องทำได้ล่ะเนี่ย ในไร่นี้มีแค่พวกฉันสองคนก็รับมือได้แล้ว"
เดิมทีตอนนี้ร่างกายของดุจเดือนก็อ่อนแออยู่แล้ว ถ้าต้องรับมือกันเองสองคนจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมาแข็งแรงได้อีก มองดูทั้งสองคนกำลังแกะห่ออาหาร อุไรพรก็เปิดปากลองถามหยั่งเชิงดู
“แม่ยาย ร้านค้าในเมืองนั้่น แม่คิดจะจัดการกับมันยังไงดีล่ะ?”
กาญจนาเงยหน้าขึ้นมองเธอกลับ และถามพร้อมรอยยิ้ม
“อะไรกัน หรือหนูมีความคิดดี ๆ ?”
อุไรพรหัวเราะคิกคัก ในดวงตาคู่นั้นมีแสงส่องประกาย
“เรามาลองเปิดร้านขายเสื้อผ้ากันดีกว่า”
ทั้งกาญจนาและดุจเดือนต่างมองเธอด้วยความฉงนสงสัย ไม่คิดว่าเธอจะอยากเปิดร้านขายเสื้อผ้า
“แม่ยาย หนูคิดว่าอย่างนี้ เราขายแต่ผักผลไม้มันไม่คุ้มเลยจริง ๆ ผลผลิตของเราก็มีออกมาไม่ทันขายเลย ในเมื่อเป็นซะแบบนี้ มิสู้ขายของอย่างอื่นแทนเสียดีกว่า ส่วนผักผลไม้ก็สามารถไปตั้งแผงขายที่อื่นได้”
ดุจเดือนไม่เข้าใจเรื่องการทําธุรกิจเหล่านี้เอาเสียเลย ทั้งหมดต้องพึ่งอุไรพรและกาญจนาเป็นผู้ตัดสินใจ กาญจนามามองครุ่นคิดดู ก็คิดว่ายัยเด็กคนนี้ช่างมีความคิดดีจริง ๆ
"ถ้าอย่างงั้นตอนเย็นกลับบ้านแล้วเราค่อยปรึกษากันดู เป็นยังไงล่ะ?”
อุไรพรพยักหน้า ตั้งใจจะกลับออกไป แต่ดันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากทางด้านหลัง
“ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์!”