ตามมาด้วยก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ปาโดนที่มือของอุไรพรอย่างพอดิบพอดี อุไรพรรู้สึกเจ็บ จึงสูดลมหายใจเข้าสะกดอารมณ์ แล้ววางตะกร้ากับข้าวไว้บนพื้น
ทําไมไอ้เด็กกระเปี๊ยกนี่ ถึงได้แรงดีขนาดนี้ บนข้อมือของเธอมีรอยสีแดงปรากฏขึ้นมาในทันที
เด็ก ๆ ที่ยืนอยู่บนคันนายังไม่รู้สำนึกว่าตัวเองทำผิด ร้องตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นที่ได้เห็นฉากนี้
“ยิงโดนแล้ว ยิงโดนแล้ว ยิงโดนสัตว์ประหลาดแล้ว!”
นี่มันก็คือไอ้พวกเด็กเปรตแบบเดียวกันกับในยุคปัจจุบันไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากาญจนากับดุจเดือนก็อยู่ตรงนี้ด้วยกัน เธอคงจะต้องเก็บก้อนหินขึ้นมาแล้วปากลับไปในทันที น่าเสียดายที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาได้ไม่กี่วันเอง ยังไงก็คงไม่สามารถที่จะปล่อยให้แม่สามีเห็นภาพลักษณ์ที่ดูหัวรุนแรงเข้าได้
“นี่พวกเธอทําอะไรน่ะ?”
กาญจนามองจ้องไปที่เด็ก ๆ ที่ยืนอยู่ตามคันนาด้วยความโมโห พวกเด็ก ๆ ทําหน้าบูดบึ้ง และวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดจรวด กาญจนาที่ยังคงโมโหอยู่ เกิดความคิดที่จะวิ่งไล่ตามไป
“แม่ยาย ฉันไม่เป็นไร แม่ไม่ต้องโมโหไปหรอก จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เจ็บมากสักเท่าไหร่”
ว่าก็ว่าไปตามนั้น แต่ในใจของอุไรพรนั้นคิดไว้แล้วว่าจะแก้แค้นกลับอย่างไรดี เพราะเมื่อก่อนเธอก็เคยโดนเด็กเปรตพวกนี้รังแกอยู่ไม่น้อยครั้ง
พวกผู้ใหญ่ที่ดูแลพวกเด็ก ๆ ก็เอาแต่ปิดตาข้างเดียว แต่หลัก ๆ แล้วก็คือเจ้าของเดิมของร่างนี้ ขี้ขลาดมากเกินไป ทุกครั้งที่โดนคนอื่นรังแกก็ได้แต่เก็บเอาไว้โดยไม่พูดอะไรสักคํา เด็กเปรตพวกนี้ก็ยิ่งได้ใจยิ่งกล้ามากขึ้นไปอีก
กาญจนามองไปตามทางที่พวกเด็ก ๆ วิ่งหายไปอย่างโกรธเคือง และมองอุไรพรด้วยความปวดใจ
“อุไร หนูไม่ต้องน้อยใจไปนะ”
อุไรพรส่ายหัว ดุจเดือนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอาแต่ก้มหน้างุด บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ต้องโทษเธอที่ไม่สามารถปกป้องลูกสาวของตัวเองได้ เหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว
ในตอนแรกดุจเดือนยังมีกล่าวตําหนิกลับไปบ้าง แต่สุดท้ายก็โดนพลศักดิ์ทุบตีซ้อมเข้าให้อย่างจัง แล้วยังสั่งให้เธอรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านเอาไว้ จากนั้นมาดุจเดือนจึงได้แต่ปิดปากเงียบแต่เพียงเท่านั้น
เจ้าของเดิมของร่างนี้เริ่มเก็บตัวเงียบก็เพราะเรื่องนี้ จนท้ายที่สุดถ้าไม่จําเป็นก็ถึงกับไม่ก้าวขาออกจากประตูบ้านเลยทีเดียว เมื่อมองท่าทีของคุณแม่ทั้งสองคน อุไรพรก็ยิ้มออกมาบาง ๆ
“แม่จ๋า พวกท่านอย่าได้เสียอารมณ์กันเพราะเรื่องนี้เลย ที่ไร่นี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำเลยนะ ฉันขอตัวกลับบ้านไปต้มยาให้พงศ์เทพก่อน พอตกกลางคืนรอพวกคุณกลับมากินข้าวด้วยกันนะ”
เมื่อมองเบื้องหลังของอุไรพรที่เดินจากไป ดุจเดือนก็ถอนหายใจออกมา กาญจนาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความขมขื่นในใจของเธอหรอก
“ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป เห็นไหมว่าสภาพจิตใจของอุไรพรในตอนนี้ก็ถือว่าดีอยู่ไม่ใช่หรือ? ในวันหน้าฉันจะไม่ปล่อยให้คนพวกนั้นมารังแกเธอได้อีกแล้ว”
ดุจเดือนมองเธอกลับอย่างซาบซึ้งใจ ในใจคิดมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นอยู่
อีกด้านหนึ่ง อุไรพรที่เดินถือกล่องอาหารกลับไป กำลังลอบสังเกตเส้นทางภูมิประเทศโดยรอบ ๆ เด็กเปรตพวกนั้นชอบไปเที่ยวเล่นที่เชิงเขาลูกนั้นเป็นที่สุด เมื่อคิดได้ดังนี้เธอจึงเดินตรงไปทางนั้น
เป็นตามที่คาดไว้ เธอเห็นพวกเด็กเมื่อกี้กําลังเล่นบทบาทสมมติกันอยู่
อุไรพรแสยะปากยิ้ม ก็เห็นเด็ก ๆ พวกนั้นแล้วมันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเลยนี่
“ยัยอัปลักษณ์มาแล้ว! ยัยอัปลักษณ์มาแล้ว!”
อุไรพรหยิบก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือ เดินเข้าไปด้วยความโกรธอยากจะเอาหินทุบหัวของเด็กเปรตที่เมื่อครู่เพิ่งปาก้อนหินใส่เธอ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ตกใจจนร้องไห้โหวกเหวกและวิ่งหนีกันอลเวง
เด็กคนนั้นยืนนิ่งอยู่กับที่ กระพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร แต่ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวด เด็กที่ชื่อว่าภูผา ลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าก้อนหินได้หล่นถึงพื้นแล้ว ส่วนอุไรพรนั้นกำลังยืนสะบัดฝุ่นออกจากฝ่ามือ
เธอเหลือบตาลงไปมองเด็กที่ตกใจกลัวจนหัวหดกันไปหมดแล้ว เป็นเพราะพวกเขาเล่นกันอยู่ที่นี่ พวกผู้ปกครองไม่มีทางตามมาถึงที่ที่ไกลขนาดนี้ ทำให้พวกเขามีพื้นที่สำหรับแสดงตัวตนอย่างเต็มที่
“กลัวไหม?”
พอพูดจบก็เห็นว่าที่กางเกงของเด็กคนนี้มีน้ําหยดลงมาติ๋ง ๆ กลิ่นคาวของปัสสาวะก็ฟุ้งกระจายไปรอบ ๆ ในทันที
“ตอนที่พวกเธอเอาก้อนหินขว้างใส่คนอื่นทําร้ายคนอื่น พวกเขาจะไม่กลัวเหรอ? ขอโทษซะ ไม่งั้นก็รอดูว่าวันนี้ฉันกล้าทุบเธอจริงไหม?”
ในตอนนี้ภูผารู้สึกว่าตัวเขาราวกับเป็นเพียงลูกไก่ตัวหนึ่ง ที่ถูกบีบอยู่ในกำมือขยับไปไหนไม่ได้ จึงรีบพยักหน้าทันควัน
“อัปลั... ผมสำนึกผิดแล้ว ครั้งหน้าผมจะไม่กล้าทำอีกแล้วครับ”
อุไรพรมองพวกเด็กเปรตคนอื่น ๆ ที่วิ่งกันชุลมุนเป็นเจ้าเข้าด้วยสายตาเย็นเยือก น้ำเสียงของเธอมีอานุภาพแรงกล้า
“พวกเธอก็ต้องมาขอโทษฉันด้วย!”
ภูผาเป็นหัวโจกของเด็กกลุ่มนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ในตอนนี้เขาก็กลัวจนหัวหดไปแล้ว พวกเด็กคนอื่นจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก พากันมายืนอยู่ต่อหน้าอุไรพ รและกล่าวคำขอโทษออกมาอย่างโดยดี อุไรพรจึงสบายใจขึ้นมามาก และเดินกลับบ้านไป
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบ เมื่อกาญจนากลับถึงบ้านในตอนค่ำก็ดูอารมณ์ไม่ค่อยดี จนกระทั่งหลังจากทานอาหารเสร็จ ก็ได้ลุกยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“อุไร หนูออกไปกับฉันหน่อยสิ”
อุไรพรมองไปทางดุจเดือนด้วยความสงสัยเล็กน้อย ดุจเดือนเองก็ส่ายหัว เพื่อสื่อว่าเธอก็ไม่รู้เรื่องอะไรเช่นกัน จากนั้นอุไรพรก็ลุกขึ้นยืน และเดินตามออกไปอย่างเชื่อฟัง
เธอยังคิดว่าเธอทําอะไรผิดไปหรือเปล่า จนกระทั่งกาญจนาพาเธอไปถึงที่หน้าบ้านของภูผา อุไรพรก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา หรือว่าวันนี้ไอ้เด็กแสบภูผาจะกลับบ้านไปฟ้องแม่ซะแล้ว แต่ดุจเดือนก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้เรื่องนี่นา
เมื่อเห็นกาญจนาเคาะประตูบ้านของภูผา อุไรพรก็หลับตาลง
“แม่ยาย พวกเรามาที่นี่เพราะมีเรื่องอะไรหรือ?”
วินาทีต่อมาคุณแม่ของภูผาก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นกาญจนาจึงยกยิ้มขึ้นมา และมองไปที่อุไรพรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้างง ๆ ใจคิดว่าพายัยขี้เหร่คนนี้มาทำไมกัน ไม่เป็นมงคลเลยจริงๆ
“คุณนายตระกูลจิรพิทยาวงษ์, นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
วันนี้ตอนที่อยู่ในไร่ ภูผาขว้างก้อนหินใส่อุไรของฉัน แถมยังพูดจาต่อว่าเธอว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์ เป็นเด็กเป็นเล็กก็ต้องสอนให้ดีตั้งแต่เด็ก ๆ ถ้าตอนเด็ก ๆ จิตใจโหดร้ายขนาดนี้โตขึ้นจะขนาดไหน?คุณว่าใช่ไหมล่ะ”
นี่แม่ยาย มาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ฉันงั้นเหรอ?
แม่ของภูผาสีหน้าเปลี่ยนจนเริ่มดูไม่ได้ มองไปที่ใบหน้าตาทีี่ทำให้รู้สึกแสบลูกตาของอุไรพร แอบคิดในใจว่าสิ่งที่ลูกชายของเธอพูดก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว
“นี่... คุณนายตระกูลจิรพิทยาวงษ์ คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? เด็ก ๆ เขาเล่นซนกันไปหน่อย ไม่ว่าบ้านไหนก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ลูกสะใภ้ของคุณคนนี้ก็คงจะไม่ได้ถือสาอะไรกับภูผาหรอก ใช่ไหม?”
อุไรพรยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป กาญจนาก็ดึงเธอไปอยู่ข้างหลังอย่างประคบประหงม
“ฉันไม่สนใจว่าอุไรจะถือสาหรือไม่ แต่สำหรับเรื่องนี้ในวันนี้ฉันจําเป็นต้องขอความยุติธรรม เด็ก ๆ เล่นกันเอง ถึงกับทําให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บได้เชียวหรือ?”
เธอพูดกระแทกเสียงด้วยความเย็นชา
“ภูผาของคุณก็ถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนแล้วมั้ง ไปโรงเรียนทั้งแบบนี้คงไม่ไหวหรอก อุไรอายุก็ยังไม่ถึงสิบห้าปี ในสายตาของฉันก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ถ้างั้นให้อุไรเอาหินทุบกลับดีไหม?”
อุไรพรยืนฟังอยู่ข้าง ๆ แทบอยากยกนิ้วให้กาญจนาเลย ความสามารถในการต่อล้อต่อเถียงอย่างฉะฉานนี้ เมื่อเทียบกับตัวเธอเองแล้วก็ถือว่าเหนือชั้นขึ้นไปอีก แม่ภูผามองท่าทีแบบนี้ของเธอ ก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
น้ำเสียงที่เยือกเย็นเรียกหาภูผาที่กําลังเล่นอยู่กับตั๊กแตน เมื่อภูผาเห็นอุไรพรก็กลัวหัวหด แต่โชคยังดีที่แม่ของเขาไม่ทันสังเกตเห็น
“วันนี้ทำอะไรลงไปกับพี่อุไร ขอโทษซะ!"
เมื่อเห็นเขาดูหงอย ๆ อุไรพรก็เกิดรู้สึกเห็นใจภูผาขึ้นมา ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะโดนตีเป็นชุดอย่างแน่นอน
ภูผาคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะรู้ไปถึงแม่ของเขาได้ ทั้งนึกถึงความหวาดกลัวในตอนที่โดนอุไรพรข่มเหง เขาจึงโค้งคํานับลงด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“ขอโทษครับ พี่อุไร”