“หย่าร้าง?” ดวงตาของดุจเดือนเบิกกว้าง เธอไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินประโยคนี้
หญิงโบราณ เมื่อแต่งงานได้ไม่สมหวัง ส่วนใหญ่ก็ได้แต่อัดอั้นตันใจแล้วใช้ชีวิตต่อไป
ผู้ชายเป็นผู้หย่า ไม่เอาผู้หญิงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีผู้หญิงออกตัวขอหย่าร้างเองสะที่ไหนกัน
ด้านหนึ่งดุจเดือนรู้สึกว่ามันเหมือนจะผิดศีลธรรม มันเนรคุณอย่างร้ายแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ไม่ถูกอะไร
“แม่ หนูคิดแล้ว หนีไปหนูก็ไม่รอด สู้ไปแต่งงานกับตระกูลจิรพิทยาวงษ์ แต่งงานไป แย่สุดก็แค่อยู่เป็นหม้าย อยู่เป็นหม้ายแล้วไง ยังดีกว่าถูกคนมองว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานที่นี่”
อุไรพรพูดอย่างจริงจังว่า “ดังนั้น ฉันอยากให้แม่ไปกับฉัน พวกเราไปบ้านตระกูลจิรพิทยาวงษ์ด้วยกัน!”
ดุจเดือนตกตะลึงกับความคิดที่น่าตกใจนี้
“นางเนรคุณ แกยังไม่รีบลุกออกไปจากบนตัวพ่อแกอีก!”
คนที่มาตามเสียงคือ ตาเฒ่าพล พอเข้ามาก็เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองถูกตีจนจมูกเขียวตาบวม
อุไรพรกลับเหมือนโจรคนหนึ่ง ที่ใช้ลูกชายของเขาเป็นตอไม้แล้วนั่งอยู่ใต้ก้น
พอเธอหันหัวไป เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝี หน้าสีดําและน่าเกลียดอย่างทนดูไม่ได้
เมื่อก่อน อุไรพรเธอแค่ก้มหน้าอย่างขี้ขลาด พอพวกเขาเห็น ก็เอาแต่รู้สึกคลื่นไส้
ตอนนี้ดวงตาของเธอเยือกเย็นเหมือนมีด บวกกับใบหน้าที่น่ารังเกียจนั้น มันเหมือนผีร้ายที่ปีนขึ้นมาจากนรก ทําเอาตาเฒ่าพลเหงื่อไหลอย่างหวาดกลัว
“ ตาเฒ่า แกมาได้พอดี ไม่ใช่ว่าอยากให้ฉันแต่งงานกับตระกูลจิรพิทยาวงษ์เหรอ?” อุไรพรยิ้มอย่างเย็นชา “ฉันคิดแล้ว แต่งงานไปบ้านนั้นน่ะ ได้ แต่เงื่อนไขก็คือแม่ฉันกับไอ้สัตว์เดรัจฉานที่อยู่ใต้ก้นของฉันนี่ต้องหย่ากันโดยดีก่อน!”
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน! มึงพูดอะไรของมึง!”
“กูพูดภาษาคน ไม่เหมือนพวกมึง ปากพ่นอุจจาระเต็มปาก พวกมึงกินขี้ไปเยอะเลยไม่เข้าใจภาษาคนแล้วเหรอ?” อุไรพรตอกกลับไปอย่างไม่เกรงใจ
“ดุจเดือน แกให้ท้ายไอ้เด็กเดรัจฉานนี่มาต่อต้านตระกูลสุพรรณศิลป์ของกูงั้นเหรอ!”
ดุจเดือนตกใจจนหดตัวไปทั้งตัว เธอตัวสั่นเทาแล้วมองไปที่อุไรพร
อุไรพรมองไปที่ดุจเดือนด้วยสายตาที่ว่าวางใจเถอะ ดุจเดือนขี้ขลาดมาตลอด แต่ประสบความเจ็บปวดที่เกือบจะสูญเสียลูกสาวไป ...
เธอต้องยืนข้างลูกสาวนี่!
ดังนั้น เป็นประวัติการณ์ พวกเขาก็สั่งให้ดุจเดือนเชื่อฟังไม่ได้แล้ว
“พวกแกไม่เต็มใจขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่กะให้ฉันแต่งงานกับตระกูลจิรพิทยาวงษ์แทนแล้วสินะ งั้นก็ไม่รู้ว่าลูกสาวคนไหนของตระกูลสุพรรณศิลป์ที่จะไปแต่งงานด้วย เป็นหลานสาวคนโตหรือหลานสาวคนที่สามของแกล่ะ?”
อุไรพรเห็นมุมกระโปรงแดงที่ซ่อนอยู่นอกประตูมานานแล้ว
“ฉันไม่แต่ง คุณปู่! หนูไม่แต่งกับไอ้คนป่วยกระเสาะกระแสะนะ!” ปราณีตะโกนขึ้น
แม้ว่าตระกูลสุพรรณศิลป์จะให้ความสําคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ปราณีได้ช่วยชีวิตท่านปู่ไว้ตอนเด็ก และดังนั้นเธอจึงได้รับสวัสดิการในบ้านไม่ต่างจากหลานชาย
พอโวยวายแบบนี้ ฝนทิพย์ลูกสาวคนโตของเมียหลวงก็ได้ยินเข้า
มุมมืด ๆ นั้น ฝูงคนกลุ่มหนึ่งต่างล้อมกันอยู่ที่นั่น
“อุไรลูก หนูฟังที่ฉันพูดนะ แม้ว่าพงศ์เทพจะป่วยติดเตียง แต่ตระกูลจิรพิทยาวงษ์ก็ไม่ยากจนนะ หนูแต่งงานไปก็คือไปเสพสุข แล้วจะโวยวายให้น่าอับอายขนาดนั้นไปทำไม?”
อุไรพรหัวเราะอย่างเย็นชา “เสพสุขงั้นเหรอ งั้นคุณก็ให้ฝนทิพย์แต่งงานแล้วไปเสพสุขเถอะ!”
ฝนทิพย์โกรธจนดึงเสื้อผ้าของแม่ตัวเองไปมา เธอส่งสัญญาณให้แม่ตัวเองพูดให้น้อยลง
“คําขอของฉันนั้นง่ายมาก หย่าร้าง แล้วคืนอิสรภาพของแม่ฉัน พอฉันเห็นหนังสือการหย่าโดยดีที่มีผลทางกฎหมาย ฉันก็จะแต่งงานกับตระกูลจิรพิทยาวงษ์อย่างเชื่อฟัง”
“มิฉะนั้น สถานการณ์กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือความตาย แม้แต่กระต่ายที่ถูกบีบบังคับจนเกินก็กัดคนได้ ฉันไม่ติดที่จะเอาไอ้เลวแบบนี้ไปตายด้วยกันกับฉัน ให้ทุกคนรู้เรื่องอื้อฉาวของตระกูลสุพรรณศิลป์ของพวกแก”
ไม้ของอุไรพรก็ตีลงที่พลศักดิ์ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ละครั้งต่างก็ไม่หนัก
แต่ที่น่าขนลุก พลศักดิ์ยิ่งกลัวจนฉี่ทแตก กลิ่นคาวมันยิ่งเพิ่มความแปลก ๆ ให้กับบรรยากาศนั้น
“ฉันจะให้พวกแกรู้สะบ้างว่าพวกแกได้บังคับสาวที่สวยเหมือนดอกไม้คนหนึ่งจนตายได้ยังไง!”
หลังจากนั้นไม่นาน อุไรพรก็เยาะเย้ยอย่างเย็นชาขึ้นว่า “อีกอย่าง”
“ฉันตายแล้ว คนที่ควรแต่งงานยังไงก็ต้องแต่งต่อ แล้วงี้จะเป็นใครล่ะ?” สายตาของเธอจ้องมองไปที่ฝนทิพย์ส์
ฝนทิพย์ตกใจและคิดอย่างลนลานว่า ต้องเป็นเธอแน่ ๆ
ปราณีเป็นลูกรักคุณปู่ และคุณปู่จะไม่ยอมให้เธอไปตกหลุมไฟนั้นแน่นอน งั้นก็เหลือแต่ตัวเธอแล้ว
“ให้เวลาพวกแกปรึกษากัน 15นาที ถ้าเลยเวลาไปแล้วยังดื้อรั้นกันอยู่อีก งั้นฉันก็จะโกรธแล้วนะ" สายตาของอุไรพรดุร้าย เธอพูดทีละคําว่า “ฉันไม่ติดที่จะตัดมือ ตัดขาของไอ้เลวนี่เพื่อระบายความโมโห”
บรรยากาศเคร่งขรึม พวกเขามองไปที่อุไรพร ต่างก็รู้สึกแปลกหน้ามาก
คนที่ขี้ขลาดและไม่กล้าอะไร คนที่ปล่อยให้พวกเขาบีบคั้นให้แบนนั้น
ทำไมอยู่ ๆ ถึงกลายเป็นปีศาจที่เหมือนมาทวงหนี้ได้!
พวกเขากลืนน้ำลายโดยพร้อมกันแล้วก็ถอยออกไป
“อุไร โวยวายจนเป็นเรื่องแบบนี้ ไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?” ดุจเดือนพูดอย่างกระวนกระวายใจขึ้นว่า “ถ้าแพร่ออกไป กลัวว่าคนในหมู่บ้านจะเอาเรื่องลูกไปพูดสนุกัน ถึงตอนนั้นจะทํายังไงล่ะ?”
“แม่ การที่ไปแต่งงานกับตระกูลจิรพิทยาวงษ์ แต่เดิมเรื่องนี้มันก็จะถูกคนเอาไปนินทาอยู๋แล้ว อีกอย่างพวกเขาไม่เคยมองว่าเราเป็นคนแม่คิดว่าคนข้างนอกจะไม่ดูถูกเราเหรอ?”
“ถ้าอยากได้ความเคารพจากคนอื่นต้องให้เคารพตัวเองก่อน แทนที่จะเป็นเนื้อบนเขียงของคนอื่น สู้ยกมีดขึ้นมาเองก่อนดีกว่า”
“ชีวิตเรามันไว้ให้ตัวเองใช้ ไม่ใช่ให้คนอื่นดู”
ดวงตาของอุไรพรสดใส เธอจับมือดุจเดือนไว้แน่น “แม่ แม่วางใจได้ อนาคตของเรามีแต่จะดีขึ้นเท่านั้น ไม่มีทางมีชีวิตที่แย่กว่าตอนนี้แล้ว
“ได้ แม่เชื่อลูก” ดุจเดือนก็จับมืออุไรพร
ภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที ตาเฒ่าพลก็มาพร้อมกับทะเบียนหย่าและทะเบียนสมรส
ปั้มรอยนิ้วมือลงบนทะเบียนหย่า ทะเบียนสมรส อุไรพรก็ปั้มรอยนิ้วมือลงไว้ ตามนี้แล้วไม่สามารถกลับคําได้แล้ว
อุไรพรถึงได้พอใจแล้วโยนพลศักดิ์ตรงออกไปทันที
ทุกคนนอกบ้านเห็นสภาพที่น่าสังเวชของพลศักดิ์ ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น ขณะนั้นไม่มีใครกล้าไปรุกรานอุไรพรอีกเลย
พวกเขาหวังเพียงว่าจะแต่งงานโดยเร็ว จะได้ส่งท่านผู้นี้จากไปโดยเร็ว
ไม่มีใครสนใจก็ดีเลย อุไรพรจึงตรงไปที่บ้านตระกูลจิรพิทยาวงษ์
กาญจนาแม่ของพงศ์เทพยืนอยู่ที่หน้าประตูพอดี เธอมองบาดแผลที่หน้าผากของอุไรพรและเลือดที่ติดตรงตัว
เดิมทีใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรูพรุนอยู่แล้ว ยังบวกกับรูเลือดที่หน้าผากที่ชนกําแพงอีก นี่จึงยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
“นี่หนูไปโดนอะไรมา ตระกูลสุพรรณศิลป์ตีหนูเหรอ?" กาญจนารู้ราง ๆ ว่าต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องแต่งงานนี้แน่ แต่พอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ถูกทําแบบนี้ เธอก็รู้สึกทนไม่ได้
อุไรพรผ่านความประทับใจเบื้องต้น กาญจนาคนนี้ถือว่าเป็นคนดีเลย
เธอดูใบหน้าที่น่าเกลียดของตัวเอง ในสายตาของเธอไม่เพียงแต่ไม่มีความรังเกียจเท่านั้น และยังเห็นอกเห็นใจมากกว่าสะอีกและแม้กระทั่งยังมีการโทษตัวเองเล็กน้อย
“ฉันสัญญากับพวกเขาแล้วว่าจะปั้มลายนิ้วมือในทะเบียนสมรส ดังนั้นพรุ่งนี้ฉันควรแต่งเข้ามา”
กาญจนาตกตะลึงไป เธอไม่คิดว่าอุไรพรจะพูดแบบนี้ เธอขยับริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันตั้งใจจะแต่งงานตามที่กําหนดโดยคนรุ่นเก่า ซึ่งคือการเป็นเองกับลูกสาวของตระกูลสุพรรณศิลป์”
“ป้าสะใภ้คะ ฉันไม่ได้มาบ่นนะคะ ฉันออกตัวที่จะแต่งงานกับตระกูลจิรพิทยาวงษ์เองค่ะ แต่ฉันมีข้อแม้ค่ะฉันหวังว่าแม่ของฉันจะติดตามฉันและใช้ชีวิตในตระกูลจิรพิทยาวงษ์ด้วยกันกับฉันค่ะ”
กาญจนาเองก็ตกใจเล็กน้อย ฟังอุไรพรพูดเรื่องการยอมหย่าโดยดีแล้ว เธอก็ยิ่งตกใจจนงงงวยไปพักหนึ่ง
“นี่มัน ได้แน่นอนอยู่แล้ว...”
อุไรพรร์ก็สบายใจลงแล้ว เธอหยุดไปแล้วพูดว่า “ฉันเองก็ไม่ให้คุณรับฉันกับแม่ของฉันฟรี ๆ อย่างไร้ประโยชน์หรอกก่อนหน้านี้คุณไม่ใช่ว่าได้ให้สัญญาว่าจะให้สินสอดทองหมั้นแปดตำลัง เงินสองสลึง ตามที่ควรนั้น ได้ให้ไปก่อนสี่ตำลึงแล้ว ที่เหลือสี่ตำลึงฉันคิดว่าคุณไม่จําเป็นต้องให้พวกเขาแล้วค่ะ”
“ถึงอย่างไรแม่ของฉันก็ไม่ใช่คนของตระกูลสุพรรณศิลป์แล้ว ลูกสาวของเขาเองก็ไม่เคยเป็นคนของตระกูลสุพรรณศิลป์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้าสาวที่คุณแต่งงานด้วย สินสอดทองหมั้นเหล่านั้นก็ไม่จําเป็นต้องมอบให้กับตระกูลสุพรรณศิลป์แล้ว”