ฉันกับพี่ไรม์กลับมาถึงบ้านในช่วงหัวค่ำ พวกเราแยกกับพี่ร๊อคและแรมพ์ที่สนามบิน โดยตลอดทางเขาเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา แม้สีหน้าจะเย็นชาแต่แววตาอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ… พี่ไรม์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สุดท้ายก็เป็นฉันที่อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ร่างสูงชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดก่อนหันมองฉัน สายตาเย็นชาดูอ่อนเพลียมากจริง ๆ “พี่ไม่สบายเหรอคะ…”
“ยุ่ง…” คิ้วเข้มขมวดนิด ๆ แล้วเบี่ยงหน้ากลับก่อนเดินขึ้นชั้นบนไป แต่ฉันมั่นใจว่าเขากำลังป่วยแน่ ๆ
สิบนาทีต่อมาฉันถือกะละมังใบเล็กบรรจุน้ำพร้อมผ้าขนหนูหยุดยืนหน้าห้องของพี่ไรม์ ก็รู้ว่าตัวเองกำลังจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง แต่มันอดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ แม้อาจจะถูกเขาต่อว่าหรือถูกทำเย็นชาใส่ก็ช่าง หากได้ดูแลเขายามป่วยไข้แล้วละก็… ฉันยินดี
ก๊อก ๆ ๆ
“ฟองเข้าไปนะคะ” ขออนุญาตเสร็จก็เปิดประตูเข้าไปด้านในห้องนอนของพี่ไรม์ ความเย็นเฉียบทำให้ต้องห่อไหล่หนี เดินมาถึงเตียงใหญ่ซึ่งมีร่างสูงนอนคว่ำหน้าอยู่บนนั้น ฉันวางกะละมังลงบนโต๊ะก่อนนั่งยองข้างเตียงให้ระดับสายตาตรงกับใบหน้าหล่อเหลา ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ แตะลงบนหน้าผากเขาแผ่วเบา “ตัวร้อนจริง ๆ ด้วย…”
หมับ!
“อ๊ะ… พะ พี่ไรม์ตื่นอยู่เหรอคะ” ฉันละล่ำละลักถามด้วยความตื่นตกใจที่จู่ ๆ ข้อมือถูกมือหนาร้อนผ่าวยึดจับเอาไว้ ดวงตาคมเข้มเปิดเปลือกตาขึ้นมองกัน เขาหายใจหอบเล็กน้อยจากการถูกพิษไข้เล่นงาน
“เข้ามาทำไม… ออกไป” เสียงแหบพร่าขับไล่ไสส่งตามที่ฉันคิด แต่ทว่าแม้ปากจะเอ่ยไล่กันแต่มือหนากลับไม่ยอมปล่อยมือฉันเลย
“ฟองจะไปค่ะ แต่ต้องหลังจากเช็ดตัวให้พี่เรียบร้อยแล้วนะคะ” ฉันแกะมือเขาออกแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งลงบนเตียงข้างกายเขาแทน พี่ไรม์ขยับตัวนอนหงายโดยที่สายตายังจับจ้องฉัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่โต้แย้งอะไร ฉันจึงเอื้อมหยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ มาถือ หันกลับมาชั่งใจมองร่างหนาเล็กน้อย “เอ่อ… ขะ ขออนุญาตนะคะ”
ฉันก้มหน้างุดเพื่อหลบสายตาคมที่มองมานิ่ง ๆ ขณะมือข้างหนึ่งค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกด้วยมือสั่น ๆ จนกระทั่งกระดุมเม็ดสุดท้ายหลุดออกจึงช้อนสายตาขึ้นสบเจ้าของร่างแกร่ง สายตาเราประสานกัน และก็เป็นฉันที่เสสายตาหนีกลับมาตั้งใจเช็ดตัวให้เขาแทน
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของภรรยา… หลักสูตรที่ฉันร่ำเรียนมาได้นำออกมาใช้จริงอีกแล้ว นับว่าที่เรียนไปไม่สูญเปล่าเลยจริง ๆ ถึงชีวิตคู่ของเราจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่เคยฝันใฝ่ แต่แค่ได้อยู่ใกล้ ๆ คอยดูแลเขาแบบนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน
หลังจากพี่ไรม์ยอมให้ฉันเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ให้เขาจนเสร็จ ฉันก็หยิบยาให้เขาทานแล้วปล่อยให้เขานอนพัก ซึ่งเขายอมทำตามโดยง่าย เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเวลาเขาป่วยแล้วจะว่านอนสอนง่ายแบบนี้
“น่ารักดีแฮะ…” ฉันเผลอยิ้มออกมาตอนกำลังจะเข้านอน
จะว่าไป… ทำไมพี่ไรม์ถึงเพิ่งจะป่วยกันนะ? ในเมื่อเขาสัมผัสน้ำเย็น ๆ กับลมแรง ๆ พร้อมกับฉัน เขาก็น่าจะป่วยพร้อมฉันตั้งแต่เมื่อคืนก่อนแล้วสิ น่าแปลกจริง ๆ …
.
.
.
เช้าวันต่อมาฉันไม่เห็นพี่ไรม์แล้ว คาดว่าเขาคงจะอาการดีขึ้นแล้วจนสามารถออกไปข้างนอกได้ ซึ่งวันนี้ฉันเองก็ต้องไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน เพราะอีกไม่กี่วันก็จะเปิดภาคเรียนแล้ว
“พร้อมแล้วใช่ไหมฟอง งั้นไปกันเถอะ พี่โชรออยู่”
ฉันเดินออกจากหน้าบ้านมาที่ประตูรั้วพลางมองผ่านร่างบางไปด้านหลังของเธอซึ่งมีรถของพี่โชจอดอยู่และเจ้าของรถกำลังโบกมือให้ฉัน
“สวัสดีค่ะพี่โช พี่จะไปมหาลัยด้วยเหรอคะ” ฉันขึ้นมานั่งบนรถแล้ว โดยหวานให้ฉันนั่งข้างคนขับ ส่วนตัวเธอนั่งเบาะหลัง
“เปล่าหรอก พี่แค่จะไปส่งพวกเราน่ะ รถยัยหวานเพิ่งเข้าอู่เมื่อวันก่อนด้วย เลยไม่อยากปล่อยให้นั่งแท็กซี่ไปกันเอง”
“น่ารักไหมล่ะพี่ชายหวาน เอ้อ ว่าแต่คุณสามีของฟองล่ะ เขาไม่อยู่เหรอ?”
“พะ พี่ไรม์น่ะเหรอ” ฉันรู้สึกร้อนผ่าวใบหน้าทุกครั้งที่หวานเรียกพี่ไรม์ด้วยคำแบบนั้น และดูเหมือนเธอจะชอบแกล้งฉันซะด้วยสิ เธอบอกว่าฉันน่ารักเวลาหน้าแดงน่ะ “เขาออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน”
“คงไปมหาลัยเหมือนกันแหละมั้ง เห็นว่าคณะวิศวะมีรับน้องวันนี้เหมือนกันนี่”
วันนี้ฉันกับหวานมีงานรับน้องที่คณะ ความจริงพวกรุ่นพี่บอกว่าไม่ได้จัดกิจกรรมอะไรมากหรอก แค่ทำให้พอเป็นพิธีแบบรับพี่รับน้องเท่านั้น ไอ้ตอนแรกฉันก็แอบกังวลว่าจะเจอรับน้องโหด ๆ อะไรแบบนั้น พอพวกรุ่นพี่ว่ามาแบบนี้ฉันก็สบายใจขึ้นเยอะเลย
“หมอนั่นอยู่ปีสามด้วยนี่ ก็ไม่แปลกถ้าจะไปร่วมกิจกรรม ว่าแต่เราไม่รู้เรื่องเลยหรือไง”
“นั่นสิ แล้วนี่เพลียหรือเปล่า เมื่อวานเพิ่งกลับจากทริปฮันนีมูนด้วยนิ มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นบ้างไหมเอ่ย?”
หวานชะโงกหน้ามาทำตาเล็กตาน้อยใส่ ฉันรีบก้มหน้าหลบสายตาใคร่รู้ของคุณเพื่อน ไม่ใช่ว่าเขินอายที่จะตอบหรอกนะ แต่มันลำบากใจจนไม่รู้จะตอบยังไงมากกว่า เพราะคำว่าอะไรดี ๆ ระหว่างฉันกับพี่ไรม์น่ะมันแทบไม่มีเลย นอกจากเหตุการณ์ติดถ้ำนั่น…
“ฮั่นแน่… หน้าแดงแบบนี้ อย่าบอกนะว่ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นจริง ๆ อ่ะ เอ๊ะ… หรือว่าเธอกับพี่ไรม์จะ…”
เอี๊ยด!
“ว้าย!” เสียงอุทานของฉันกับหวานดังขึ้นพร้อมกันเมื่อจู่ ๆ รถยนต์ถูกเบรกกะทันหัน ฉันเกือบหน้ากระแทกคอนโซลรถถ้าไม่ติดมือหนาเอื้อมมาคว้าไหล่เอาไว้
“เป็นอะไรไหม เอ่อ… พี่ขอโทษ เมื่อกี้รถมันตัดหน้าน่ะ” พี่โชเอ่ยน้ำเสียงนิ่ง สีหน้าเขาดูต่างไปจากก่อนหน้านี้มาก แถมยังจ้องตาฉันตรง ๆ จนฉันต้องเป็นฝ่ายละหนี
“ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ… ฟองว่าเรารีบไปกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะสายนะคะ”
และนั่นคือบทสนทนาสุดท้ายตลอดการเดินทางไปมหาวิทยาลัยของพวกเรา และฉันก็ไม่กล้าสบตากับพี่โชอีกเลย…
อะไรกันน่ะ… สายตาแบบนั้นมันคืออะไรนะ…