PK PUB
“ไงมึง ได้ข่าวว่าเพิ่งแต่งงานได้ไม่กี่วันไม่ใช่เหรอวะ ทำไมขยันร่อนจัง ทิ้งเจ้าสาวหมาด ๆ ไว้ที่บ้านคนเดียวแบบนี้ น่าสงสารแย่” คำถามกึ่งหวังดีกึ่งแดกดันดังมาจาก ‘ฌอน’ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งของผม มันนั่งลงฝั่งตรงข้ามยังไม่วายส่งสายตาขี้เสือกมาให้
“เออ ก็ว่าอยู่ทำไมสองสามวันมานี้มึงเที่ยวได้ติด ๆ กัน เพราะแยกออกมาอยู่เองแล้วสินะ” เพื่อนอีกคนสมทบขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้ ผมปรายตามองคนขี้เสือกเบอร์สองอย่าง ‘พลูโต’ มันจิบเหล้าในมือนั่งพาดแขนกับโซฟาด้วยท่าทางสบาย ๆ
“เลิกเสือกเรื่องของกูแล้วสนใจไอ้เวรนั่นแทนดีกว่ามั้ง” ผมส่งสายตาไปทาง ‘โลกิ’ เพื่อนสนิทอีกคนที่วันนี้มันนั่งเหม่อแปลก ๆ มันเงยหน้ามองพวกผมแล้วขมวดคิ้ว
“อะไร?”
“มึงอ่ะเป็นไร มาถึงก็เหม่อเลย” ผมถามพลางจิบเหล้าในมือไปด้วย
“กูห่วงน้องน่ะสิ พักนี้ไลลาอาการไม่ค่อยดี” คิ้วเข้มขมวดยุ่ง ๆ สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อพูดถึงน้องสาวตัวน้อยที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงของมัน
“เมื่อเดือนก่อนก็เพิ่งผ่าตัดไปไม่ใช่? ทรุดอีกแล้วเหรอวะ”
“ไม่เชิง ช่างเหอะ มาคุยเรื่องมึงดีกว่าไอ้ไรม์ แต่งงานแล้วทำไมไม่อยู่บ้านอยู่ช่องบ้าง ถ้าแม่มึงรู้มึงโดนฆ่าแน่” โลกิบอกปัดฌอนแล้วหันมาเสือกเรื่องของผมแทน ผมปรายตามองไอ้ขี้เสือกเบอร์สามด้วยสายตาติดรำคาญ มึงจะคุยเรื่องอื่นกันก็ได้นะ วนกลับมาบ้านกูทำไม?
“แม่ไม่รู้หรอก ถ้ายัยนั่นไม่พูด” ผมตอบนิ่ง ๆ
“แล้วมึงมั่นใจแค่ไหนว่าเมียหมาด ๆ ของมึงจะไม่ปากโป้ง นี่มึงทิ้งเธออยู่บ้านคนเดียวมาหลายคืนแล้วนะเว้ย เป็นกูนะ กูฟ้องไปละ” ฌอนชนแก้วกับโตเป็นเชิงว่ามันก็คิดเหมือนกัน ถามว่าผมสนใจไหม? เออก็ไม่
“จะว่าไป ได้ข่าวว่าเมียมึงสวยมากเลยนี่ แถมยังเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจหมื่นล้านด้วย นอกจากมีเมียสวยแล้วยังรวยอีกนะ น่าอิจฉาสัด ๆ”
“มึงนี่ก็รู้ดีจังนะไอ้ฌอน ได้ข่าวว่ามันแต่งงานไม่บอกเพื่อนฝูง? มึงยังจะไปเสือกเรื่องของมันได้อีก” โลกิยกเท้าขึ้นถีบขาฌอนแรง ๆ อย่างนึกหมั่นไส้ ผมนั่งฟังพวกมันคุยกันเรื่องตัวเองด้วยความรำคาญเต็มทน
“ก็แค่เด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง พวกมึงจะสนใจอะไรกันนัก เลิกเสือกเรื่องของกูแล้วก็แดก ๆ กันไปเหอะ” ผมตัดบทอย่างเย็นชา ปราดสายตามองพวกมันทีละคนเป็นเชิงเตือนให้เลิกพูดเรื่องนี้สักที ผมไม่อยากนึกถึงหน้าเธอคนนั้นให้มันหงุดหงิดใจอีก
พาลให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืน สัมผัสหวาน ๆ นั่นยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึกไม่จางหาย ผมคงจะเมามากไปถึงได้ทำเรื่องแบบนั้นกับเธอ ไม่รู้ว่าตัวเองหน้ามืดแบบนั้นได้ยังไง ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เข้าใกล้ ไม่ยุ่งเกี่ยว และไม่สัมผัสผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด
บนโลกนี้ผมจะกอดใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เธอ…
.
.
.
รถสปอร์ตคันหรูเลี้ยวเข้าจอดโรงรถหน้าบ้าน ประตูรั้วเลื่อนปิดอัตโนมัติ ผมก้าวลงจากรถพลางมองเข้าไปในตัวบ้าน ระเบียงและหน้าต่างชั้นบนซึ่งเป็นห้องของเธอคนนั้นปิดไฟมืดสนิท ขณะที่ชั้นล่างกลับเปิดไฟสว่างโร่ หลุบสายตาดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีหนึ่งยี่สิบ เธอคงหลับไปแล้วละมั้ง…
แกร๊ก
คิ้วเข้มขมวดนิด ๆ เมื่อประตูหน้าบ้านเปิดออกโดยง่าย ยัยนั่นขึ้นนอนโดยไม่ล็อกประตูบ้านเหรอวะ ประมาทเกินไปแล้ว…
กึก…
เท้าผมชะงักแทบจะทันทีเมื่อเดินเข้ามาภายในบ้านแล้วพบว่านอกจากไฟห้องรับแขกเปิดอยู่ ไฟตรงห้องครัวก็เปิดทิ้งไว้เช่นกัน และยังมี…
“…” ผมยืนมองภาพของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งฟุบหน้าหลับกับโต๊ะอาหาร ผมเดินเข้าไปใกล้เธอด้วยความลืมตัว สายตากวาดมองจานชามบนโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี อาหารสองสามอย่างที่ยังดูสวยงามไร้การตักทานล้วนเป็นอาหารจานโปรดของผมทั้งสิ้น
น่าหงุดหงิด…
ผมกำมือแน่น ความรู้สึกหงุดหงิดมันผุดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ สายตาจับจ้องใบหน้าครึ่งเสี้ยวที่ตะแคงเกยบนแขนเรียวบาง ดวงตาหวานหลับพริ้ม แก้มขาวเรื่อแดงน้อย ๆ ริมฝีปากบางเม้มนิด ๆ ราวกับกำลังหลับฝัน ผมเอื้อมมือเข้าหาใบหน้าสวยด้วยความลืมตัวก่อนจะชะงักมือนิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นปัดช้อนบนโต๊ะแทน
เคร้ง!
“เฮือก!” ร่างเล็กที่กำลังหลับฝันสะดุ้งฮือลืมตาตื่นแทบจะทันที เธอยันตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วหันมองผมซึ่งถอยห่างจากเธอสามก้าว ดวงตาหวานเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะมีแววดีใจแล้วลุกขึ้นยืน
“พะ พี่ไรม์… กลับมาแล้วเหรอคะ?”
“…” ผมไม่ได้ตอบคำถามกึ่งดีใจของเธอ เพียงแค่ปรายตามองด้วยสายตาเย็นชาแล้วเตรียมจะเดินขึ้นบันได แต่ถูกเสียงหวานเรียกไว้อีกครั้งจึงหยุดและหันมอง
“เอ่อ… ทะ ทานข้าวมาหรือยังคะ หิวหรือเปล่าคะ” อองฟองอ้อมแอ้มถามเสียงเบา เธอมองไปทางอาหารบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งเผลอจับท้องตัวเองอย่างลืมตัว ทำให้ผมรู้ทันทีเลยว่าเธอยังไม่ได้ทานอะไรเพราะมัวแต่รอผมแน่ ๆ ผมกำมือแน่นอย่างนึกหงุดหงิดใจ ทำไมเธอชอบทำเรื่องน่ารำคาญใจให้ผมทุกทีเลยวะ
“เธอจะกินก็กินไป ไม่ต้องมาสนใจฉัน”
“แต่ว่า…”
“เคยบอกแล้วไม่ใช่? ต่างคนต่างอยู่ ทำเหมือนอีกคนเป็นอากาศธาตุน่ะ” ผมย้ำกฎที่ตั้งไว้ในคืนเข้าหอ อองฟองเม้มริมฝีปากนิด ๆ ดวงตาหวานสั่นไหว แต่ไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนเลยสักนิด “ถ้าอยากจะอยู่ร่วมกันก็ต้องทำตามกฎ ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกไป”
“ทำไมคะ…” ผมหรี่ตามองคนตัวเล็กที่ก้มหน้ามองพื้นราวกับว่ามันคือสิ่งที่น่าสนใจนักหนา เสียงหวานสั่น ๆ ทวนคำอีกครั้ง “ทำไมพี่ไรม์ถึงใจร้ายกับฟองแบบนี้”
ผมยืนนิ่ง รู้สึกหัวใจกระตุกเบา ๆ มันเบาเสียจนผมแทบสัมผัสไม่ได้ ผมมองหน้าเธอ ริมฝีปากขยับยิ้มหยันขณะเอ่ยคำที่ควรเอ่ยมาตลอดเวลาสิบกว่าปีกับเธอ
“ใครกันแน่ที่ใจร้าย… เธอไม่ใช่คนเดียวที่ถูกทำร้ายหรอกนะ อย่าเข้าใจผิดสิ… อองฟอง”