“อ้าว เป็นอะไรไปครับน้อง? ทำท่าเหมือนหลบใคร” พี่ฌอนโน้มหน้ามาเลิกคิ้วมองฉัน ขณะที่ฉันกลัวจนแทบจะร้องไห้แล้ว ถ้าพี่ไรม์เห็นว่าฉันอยู่ตรงนี้ละก็ เขาต้องอาละวาดแน่ ๆ
“เอ่อ… ฟองขอตัวก่อนนะคะ” ฉันก้มหน้าก้มตาตอบแล้วเตรียมจะเดินหนีออกมาจากตรงนั้น ทว่ากลับถูกร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาปิดทางไว้พอดี เขาขมวดคิ้วนิด ๆ ที่เราเกือบจะเดินชนกัน
“ใครวะ? เด็กมึงเหรอไอ้ฌอน? วันแรกก็เก็บแต้มเลยเหรอวะ” เขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นถามคนด้านหลังฉัน กลายเป็นว่าตอนนี้ตรงหน้าฉันมีผู้ชายแปลกหน้ายืนอยู่ ส่วนด้านหลังเป็นพี่โลกิกับพี่ฌอน และพี่ไรม์ที่น่าจะเดินมาถึงแล้ว
ให้ตายสิ… ทำไมฉันต้องมายืนอยู่กลางวงล้อมพวกรุ่นพี่ด้วยนะ หวังว่าพวกเขาคงไม่ใช่เพื่อนกันหรอกนะ
“ไม่ใช่โว้ย! แล้วทำไมต้องคิดว่าเป็นเด็กกูด้วยวะไอ้โต มึงไม่คิดว่าเป็นเด็กไอ้โลกิมั้งไง?”
“ผิดประเด็นแล้วมึง น้องเขาไม่ใช่เด็กใครทั้งนั้นแหละ นี่น้องฟองเด็กเฟรชชี่ศิลป์ กูเกือบขับรถชนเขาระหว่างทางเลยรับขึ้นรถมาด้วย” พี่โลกิอธิบายให้พวกเพื่อนเขาฟังอีกรอบ ขณะที่ฉันยังคงยืนหันหลังให้พวกเขาอยู่ “ว่าแต่น้องจะมาหาคนรู้จักที่คณะนี้ใช่ไหม?”
“เอ่อ… ค่ะ ถะ ถ้างั้นขอตัวก่อนนะคะ” ฉันก้มหน้าพูดแล้วเบี่ยงตัวเดินหลบผู้ชายตรงหน้าที่พี่ฌอนเรียกว่าโตออกมา ทว่าเดินมาได้ไม่กี่ก้าวข้อมือข้างซ้ายก็ถูกกระชากเต็มแรงจนร่างฉันต้องหันกลับตามแรงนั้น
สองตาเบิกกว้างทันทีที่สบเข้ากับดวงตาคมเข้มแสนเย็นชา กลิ่นอายความอันตรายแผ่กระจายรอบตัวเขาพร้อมแรงบีบตรงข้อมือ ฉันเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อบริเวณที่ถูกมือแกร่งบีบคือรอยถลอกจากการล้มก่อนหน้านี้ แต่ความเจ็บแสบนั่นไม่น่าหวาดหวั่นเท่าสายตาน่ากลัวของคนตรงหน้า
“เฮ้ย! มึงทำห่าอะไรวะไอ้ไรม์? ไปกระชากน้องเขาทำไม?!” เป็นพี่ฌอนที่ถามทำลายความเงียบขึ้นมา ขณะฉันยืนนิ่งไปแล้ว ก้มหน้าหลบสายตาเย็นเหยียบ และก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ พี่ไรม์ก็ลากฉันให้เดินออกมาจากตรงนั้น พี่ฌอนถลามาขวางทางเราเอาไว้ ดูเหมือนเขากำลังพยายามช่วยเหลือฉันอยู่ “มึงจะพาเขาไปไหน? นี่มึงรู้จักน้องเขาเหรอวะ?”
“อย่าเสือก” วลีสั้น ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากหนาติดคล้ำ พี่ไรม์ดึงฉันให้เดินผ่านพี่ฌอนออกมา ฉันเม้มปากแน่น หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น
ฉันไม่ควรมาที่นี่เลยจริง ๆ ไม่น่าเลย…
.
.
.
“อ้าวไอ้เวรนี่ กูอุตส่าห์ถามดี ๆ”
“เอาน่าไอ้ฌอน มึงก็อย่าไปยุ่งเรื่องของมันเลย ดูจากท่าทางแล้ว สองคนนั้นคงรู้จักกันดีเลยล่ะ” พลูโตตบไหล่เพื่อนรักจอมจุ้นเบา ๆ สายตาเขามองเรื่องนี้ไม่พลาดแน่ ฌอนขมวดคิ้วมองตามร่างสองร่างที่เดินลับสายตาไปอย่างใช้ความคิดก่อนหันไปหาเพื่อนรักอีกคน
“มึงบอกว่าน้องเขาชื่ออะไรนะ?”
“ถามไมวะ” โลกิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ๆ ไม่ได้ใส่ใจจะตอบคำถามเพื่อนรักสักนิด
“เออ! ถามก็ตอบสิ จะถามกลับเพื่อ?”
“น้องเขาชื่อฟอง” จิ๊ปากรำคาญใจเบา ๆ ก่อนตอบ
“นั่นไง! ต้องเป็นอองฟองแน่ ๆ” ฌอนดีดนิ้วอย่างปลดล็อกความข้องใจของตัวเอง โดยมีพลูโตกับโลกิขมวดคิ้วมอง
“ใครวะ?”
“อ้าว ก็อองฟอง ‘เมีย’ ไอ้ไรม์น่ะสิ!”
คำตอบของฌอนเรียกเรียวคิ้วให้ขมวดมุ่นกว่าเดิม ก่อนทั้งคู่จะมองตามทิศทางที่เพื่อนรักตัวเองเดินจากไป
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง…”
.
.
.
ปึง!
“เสนอหน้ามาทำอะไรที่นี่!”
ประโยคดุดันและเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ของคนตรงหน้าเรียกความหวาดกลัวแล่นวาบเข้ามาในใจฉัน ดวงตาหวานกะพริบถี่ไล่ความร้อนผ่าวบริเวณหางตา ริมฝีปากเล็กขยับตอบเสียงเบา
“ขะ ขอโทษค่ะ ฟองแค่เป็นห่วงว่าพี่ไรม์หายดีแล้วหรือยัง…”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!” เสียงเข้มตวาดดุ ฉันก้มหน้างุด รู้สึกเจ็บแผ่นหลังที่ถูกผลักจนกระแทกกับผนังตึกเมื่อครู่ขึ้นมาเล็กน้อย พี่ไรม์ลากฉันเข้ามาในซอกตึกหลังคณะซึ่งไร้ผู้คน ฉันลากสายตากลับมามองร่างสูงอีกครั้งเมื่อเขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะอองฟอง อย่ามายุ่งกับชีวิตฉัน”
ฉันไม่เข้าใจเลย… ไม่เข้าใจพี่ไรม์เลยจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงเกลียดฉันขนาดนี้ ทำไมต้องใจร้ายกับฉัน ทำไมถึงผลักไสฉันตลอดเวลาแบบนี้
และเพราะความคิดมันจมปลักกับคำถามเหล่านั้นซ้ำ ๆ ทำให้ปากฉันพลั้งถามออกไปเสียงเบาหวิว
“ทำไมคะ…”
ใบหน้าหล่อเหลาแสนเย็นชาชะงักไปเล็กน้อย มันแค่เล็กน้อยจริง ๆ ก่อนดวงตาคมจะเหยียบเย็นกว่าเดิม
“ทำไมงั้นเหรอ… ฮึ! เธอไม่เคยรู้ตัวเลยสินะ” ฉันเม้มปากแน่น พยายามบังคับน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลออกมาก่อนจ้องตาร่างสูง
“งั้นพี่ก็บอกฟองมาสิคะ ฟองทำอะไรผิดนักหนา ทำไมพี่ถึงได้ใจร้ายกับฟองแบบนี้ ถ้าเกลียดฟองนักแล้วจะแต่งงานกับฟองทำไม ตอบมาสิคะ!”
ฉันเห็น… ดวงตาคมไหววูบชั่วขณะ ก่อนจะพลันเปลี่ยนเป็นแรงอารมณ์ของคนตัวสูง มือหนาบีบท่อนแขนฉันแน่น ความกรุ่นโกรธฉายชัดจากแววตาเขา
“เพราะเธอไงอองฟอง! เพราะความเอาแต่ใจในตอนเด็กของเธอทำให้ชีวิตฉันไร้อิสระ เธอช่วงชิงอิสระของฉันไปเกือบสิบกว่าปี และตอนนี้ฉันได้มันคืนมาแล้ว อย่าได้... เข้ามายุ่งกับชีวิตฉันอีก”
ฉันเบิกตากว้างด้วยความนิ่งอึ้ง ความเยือกเย็นของพี่ไรม์ถูกละลายลงพร้อมความในใจที่พรั่งพรูออกมาในที่สุด
“แต่ว่า... เราแต่งงานกันแล้วนะ” ถ้าเขาเกลียดฉันขนาดนั้น ถ้ากล่าวหาว่าฉันคือคนทำลายชีวิตเขา แล้วเขาจะมาแต่งงานกับฉันทำไม?
“นั่นมันความต้องการของเธอ ไม่ใช่ของฉัน”
“...” เพราะเหตุผลนั้นงั้นเหรอ…
“อยากแต่งงานกับฉันนักไม่ใช่? ก็สมใจเธอแล้วนิ"
ไม่ใช่... ฉันไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้...
“และจำใส่หัวเอาไว้... การแต่งงานที่เธอใฝ่ฝันนักหนา มันก็เป็นแค่ 'โซ่' ที่ล่ามเธอกับฉันไว้เท่านั้น อย่าสำคัญตัวเองผิด!”
.
.
.
หลังจากนั้นฉันจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพาตัวเองออกมาจากตรงนั้นได้ยังไง จำได้เพียงว่าพี่ไรม์เดินออกไป ทิ้งฉันให้จมกับคำพูดของเขาซ้ำ ๆ เพียงลำพัง จนกระทั่งแรมพ์โทรเข้ามา ทันทีที่รับสายเขา น้ำตามากมายมันก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
และไม่รู้ว่าทำไมครึ่งชั่วโมงต่อมาแรมพ์ถึงหาฉันเจอทั้งที่ฉันเอาแต่ร้องไห้โดยไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ เขามาส่งฉันที่บ้านและอาสาจะอยู่เป็นเพื่อน แต่ฉันขออยู่คนเดียว เขาจึงยอมกลับไป
ตอนนั้น… ในใจลึก ๆ ฉันแอบคิดว่า… ถ้าคนที่ฉันรักคือแรมพ์ก็คงจะดี… ไม่สิ… ฉันไม่ควรรักใครเลยเสียดีกว่า… เพราะถ้าฉันไม่รักเขา… เรื่องราวมันคงไม่เป็นแบบนี้
วันนี้ฉันเพิ่งรู้ตัวว่า… ความรักของฉันทำลายชีวิตของเขา… ฉันทำร้ายพี่ไรม์โดยไม่รู้ตัว