วันเวลาผ่านไปเกือบสัปดาห์ ฉันกับพี่ไรม์แทบไม่เจอหน้ากันเลยแม้ว่าเราจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันก็ตาม สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะฉันจงใจหลบหน้าเขา จากปกติจะคอยทำอาหารและอยู่รอเขากลับบ้านจนดึกดื่น ฉันก็เพียงทำอาหารวางรอเขาเหมือนเดิม ส่วนฉันเองก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ซึ่งเขาไม่เคยแตะต้องอาหารเลยสักครั้งเดียว จนฉันเริ่มรู้สึกท้อกับการทำอาหารไว้รอเขาแล้ว
ครืด…
เสียงโทรศัพท์สั่นก่อนข้อความจากแรมพ์ปรากฏบนหน้าจอ ฉันหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันนิด ๆ เมื่อเห็นว่านี่มันก็ดึกมากแล้ว
.
.
แรมพ์ : พรุ่งนี้มีเรียนเช้า ให้เราไปรับไหม?
.
.
ฉันบอกไปหรือยังนะว่านอกจากหวานจะเรียนเอกเดียวกับฉันแล้ว แรมพ์เองก็เช่นกัน ความจริงการรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับฉันเท่าไหร่ เพราะแรมพ์เป็นคนชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เราสองคนมักชวนกันวาดรูปเล่นเป็นประจำโดยมีพี่ร๊อคคอยช่วยสอนอีกที ลูกชายบ้านนี้มีหัวทางด้านศิลปินมาก ๆ ดูจากพี่ร๊อคที่เลือกเรียนสถาปัตย์และแรมพ์ที่เรียนทัศนศิลป์ จะมีก็เพียงแต่พี่ไรม์ที่ดูเขาจะไม่มาทางนี้อยู่คนเดียวอะนะ
.
.
อองฟอง : พรุ่งนี้ฟองคงไปกับหวานเหมือนเดิมแหละ ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว ขอบใจนะ
.
.
พิมพ์ตอบกลับเสร็จไม่ถึงนาทีแรมพ์ก็ตอบกลับมา ฉันอ่านข้อความเขาพลางเม้มปากเล็กน้อย
.
.
แรมพ์ : หวานเหรอ? ไหนว่ารถยังซ่อมไม่เสร็จไง? ให้เราไปรับก็ได้นะ ทั้งคู่เลย
อองฟอง : อื้อ ไม่เป็นไรจริง ๆ เราไปกันได้ แล้วบ้านแรมพ์ก็อยู่ตั้งไกลจากนี่ ขับรถวนไปวนมาจะพากันสายพอดีนะ
แรมพ์ : โอเค… งั้น… พรุ่งนี้เจอกันนะ ฝันดี
.
.
.
ตั้งแต่เปิดภาคเรียนมาฉันแนะนำหวานให้รู้จักกับแรมพ์ไปแล้ว แต่ดูเหมือนทั้งคู่ไม่ค่อยคุยกันสักเท่าไหร่ ก็นะ… ต่างฝ่ายต่างโลกส่วนตัวสูงซะขนาดนั้นนิ แต่เดี๋ยวอยู่ ๆ กันไปก็คงสนิทกันเองละมั้ง
เช้าวันต่อมาฉันมามหาวิทยาลัยพร้อมกับหวานด้วยรถของพี่โช เพราะรถของหวานยังซ่อมไม่เสร็จจึงต้องรบกวนพี่โชไปก่อนในช่วงนี้ และเจ้าตัวก็ดูจะยินดีมาก แม้ว่าเวลาเรียนของพวกเราจะไม่ตรงกับเขาก็ตาม
“นี่ ๆ พวกเธอเลือกชมรมได้หรือยัง”
จู่ ๆ เบลเพื่อนร่วมคลาสก็ถามขึ้นมาตอนพวกเรากำลังนั่งทานอาหารกลางวันด้วยกัน เรียกความสนใจจากเพื่อนคนอื่น ๆ บนโต๊ะแทบจะทันที เพราะนอกจากจะมีหวานกับแรมพ์แล้วยังมีเพื่อนร่วมคลาสอีกสี่คนที่พวกเราเริ่มสนิทจนกลายเป็นก๊วนเดียวกัน
“ฉันว่าจะเข้าชมรมบาส” จิมมี่ เพื่อนชายหน้าลูกครึ่งฝรั่งยกมือขึ้นตอบก่อนคนแรก ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับส่วนสูงเกินมาตรฐานชายไทยไปไกลมากของเขา จิมมี่สูงราว ๆ ร้อยเก้าสิบเลยมั้ง
“ส่วนฉันว่าจะเข้าชมรมอนุรักษ์กับเบล เราจะได้ออกค่ายด้วยกันบ่อย ๆ เนอะ” เป้มองหน้าแฟนตัวเองยิ้ม ๆ จนเบลกลบเกลื่อนความเขินด้วยการเอียงหน้ามาหาฉันกับหวานแทน
“แล้วพวกเธอล่ะ จะอยู่ชมรมไหนเหรอ”
“เอ่อ… ไม่รู้สิ แรมพ์ล่ะ คิดไว้บ้างหรือยัง” เพราะฉันกับหวานไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยจึงหันไปถามแรมพ์อีกต่อ คนถูกถามทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะอึกอักตอบ
“ระ เราเข้าชมรมถ่ายภาพแล้วน่ะ”
“อ่าหะ ชมรมนี้น่าสนเหมือนกันแฮะ การถ่ายภาพก็คือศิลปะอย่างหนึ่ง” สาวติสท์เสพติดศิลปะขั้นสูงดีดนิ้วเปาะ ฉันเลิกคิ้วมองหวานเล็กน้อยพลางคิดตามเธอ “ถ้าอยู่ชมรมถ่ายภาพเราก็จะได้ไปในสถานที่สวย ๆ ถ่ายภาพสวย ๆ มาต่อยอดในการวาดภาพของเราด้วย”
ก็จริงแฮะ…
“งั้นพวกเราเข้าชมรมถ่ายภาพด้วยกันเลยไหม ได้ใช่ไหมแรมพ์?” ฉันเอียงคอถามความเห็นคนตัวสูงฝั่งตรงข้าม แรมพ์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนพลางกลืนน้ำลายดังอึกจนฉันอดแปลกใจไม่ได้ “ทำไมทำท่าทางแบบนั้นล่ะ หรือว่าไม่อยากให้เราเข้าชมรมด้วยเหรอ”
“เฮ้ย… ไม่ใช่อย่างนั้น” แรมพ์ยกมือขึ้นโบกไปมาก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ “ก็เอาสิ เดี๋ยวเย็นนี้เราพาไปสมัคร แต่ว่า…”
“อะไรเหรอ?” เขาเอาแต่จ้องหน้าฉันด้วยสีหน้ากังวลจนฉันอดถามไม่ได้
“ไม่มีอะไร เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันมั้ง” เขางึมงำตอบในลำคอ สุดท้ายกลายเป็นหวานที่บ่นออกมาเบา ๆ เรียกสายตามองแรงจากแรมพ์แทบจะทันที
“พูดอะไรของนายเนี่ย ง่วงก็ไปนอนไหม งึมงำ ๆ อึกอัก ๆ อยู่ได้”
.
.
.
ตกตอนเย็นพวกเราสามคนและเพื่อนร่วมคลาสอีกสองคนพากันมาที่ชมรมถ่ายภาพซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตึกคณะศิลปกรรมนัก ภายในชั้นของชมรมเต็มไปด้วยภาพถ่ายประดับประดาเต็มผนังไปหมด
“ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะจริง ๆ ภาพถ่ายพวกนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของช่างภาพ สวย… สวยจนน่าทึ่ง” หวานพร่ำชมภาพนั้นภาพนี้ไม่หยุดตลอดทางเดิน
หลังจากสมัครเข้าชมรมเสร็จเรียบร้อย แรมพ์รับหน้าที่พาพวกเราเดินชมโดยรอบ จากนั้นครึ่งชั่วโมงพวกเราแยกย้ายกันกลับ ชมรมนี้ไม่ได้มีกฎข้อบังคับอะไรมากมาย เราไม่จำเป็นต้องเข้าชมรมบ่อย ๆ ก็ได้ ขอแค่ร่วมกิจกรรมบ้างในบางครั้งก็พอ ซึ่งถือว่ามันดีมากสำหรับคนที่ถ่ายภาพไม่เป็นเลยอย่างฉัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ชอบรูปภาพมาก ๆ เลยนะ เพราะมันคือสื่อกลางที่สามารถบรรยายความรู้สึกต่าง ๆ ภายในภาพนั้น ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์เลยล่ะ
“ฟอง”
“หืม? ว่าไงแรมพ์?” จู่ ๆ แรมพ์ก็คว้าข้อมือฉันให้หยุดเดิน ส่งผลให้หวานและเพื่อนคนอื่น ๆ เดินนำหน้าไปไกล ฉันขมวดคิ้วสบตากับร่างสูงข้างกายด้วยความไม่เข้าใจ วันนี้เขาเป็นอะไรไปเนี่ย ท่าทางแปลก ๆ ตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วนะ
“อยู่นี่เองเจ้าแรมพ์ รูปที่ให้ไปถ่ายถึงไหนละ… อ้าว… ฟอง?”
ฉันละสายตาจากแรมพ์ไปมองด้านหลังซึ่งปรากฏร่างของผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มรูปหล่อที่ฉันคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“พี่ร๊อค? เอ๊ะ… พี่อยู่ชมรมนี้เหมือนกันเหรอคะ?” ฉันหลุบตามองกล้องถ่ายภาพในมือพี่ร๊อคก่อนดึงสายตาขึ้นสบกับเขาอีกครั้ง คนถูกถามขยับยิ้มบางตอบ
“ใช่แล้ว นี่อย่าบอกนะว่าฟองก็เข้าชมรมนี้เหมือนกันน่ะ?”
“ค่ะ ฟองกับเพื่อนชอบภาพถ่ายเหมือนกันก็เลยขอตามแรมพ์มาด้วยน่ะค่ะ ดีจังเลยนะคะที่พี่ร๊อคก็อยู่ชมรมนี้ด้วย” ฉันขยับยิ้มด้วยความรู้สึกดีใจจริง ๆ ทว่ารอยยิ้มของฉันกลับต้องชะงักเมื่อฟังประโยคต่อมาของพี่ชายตรงหน้า
“ไม่ใช่แค่พี่กับแรมพ์หรอกนะ แต่เจ้าไรม์ก็อยู่ชมรมนี้ด้วยเหมือนกัน”