เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นด้วยความเจ็บแสบบริเวณลำคอและเนินอก ฉันจ้องมองร่องรอยสีกุหลาบช้ำ ๆ บนร่างกายตัวเองหน้ากระจกเงาในห้องน้ำ นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องเมื่อคืนก็รู้สึกร้อนผ่าวขอบตาขึ้นมา
เมื่อคืนหลังจากพี่ไรม์เอ่ยไล่ฉันอย่างไร้หัวใจแบบนั้น ฉันก็ได้แต่ปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นแล้ววิ่งออกจากห้องมา พอเข้ามาในห้องตัวเองก็ทรุดตัวนั่งร้องไห้อย่างหนัก นั่นเป็นครั้งแรกอีกแล้วที่ฉันร้องไห้หนักขนาดนั้น
น่าแปลกนะ… ทุกสิ่งแย่ ๆ หลายอย่างที่บั่นทอนความรู้สึกกัน ฉันได้สัมผัสมันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันแรกที่แต่งงานกับพี่ไรม์เลย… ชีวิตการแต่งงานของเราคงจะไม่ราบรื่นอย่างที่ฉันเพ้อฝันมาตลอดสิบกว่าปีแล้วสินะ
‘ฉันเบื่อเธอแล้ว’
“คนใจร้าย” ฉันปิดก๊อกน้ำแล้วเดินออกจากห้องเพื่อแต่งตัว พยายามลบคำพูดเย็นชาของพี่ไรม์ออกไป คิดในแง่ดีว่าเป็นเพราะเขาเมามาก
ใช่… เพราะเขาเมา
ฉันลงมาชั้นล่างอันเงียบสงัดของบ้าน ความวังเวงแล่นวาบเข้ามาจนเท้าเล็กชะงัก ตลอดเวลาที่ฉันเติบโตที่นิวยอร์ค ชีวิตของฉันมักรายล้อมไปด้วยแม่นมและคนรับใช้ แม้แต่ช่วงชีวิตก่อนหน้าจะย้ายไปนิวยอร์ค ฉันก็ยังมีแม่ริน คุณลุงภาค พี่ร๊อค แรมพ์ และ… พี่ไรม์
ชีวิตฉันเคยมีทุกคนอยู่ด้วยทำให้ไม่เคยอ้างว้างหรือโดดเดี่ยว สิ่งเดียวที่ฉันรู้จักคือความเหงาที่ต้องพลัดพรากจากพี่ไรม์เท่านั้น หากทว่าเวลานี้ฉันได้อยู่เคียงข้างพี่ไรม์แล้ว ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขา แต่ไม่รู้ทำไม… ฉันกลับรู้สึกเหมือนไกลห่างจากเขากว่าเดิม ความอ้างว้างโดดเดี่ยวมันเป็นแบบนี้เองหรือ…
Rrr…
ฉันหลุดจากภวังค์ความเหงากลับมาที่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ริมฝีปากแย้มยิ้มรีบปาดน้ำตาใต้ขอบตาทิ้แล้วปรับเสียงสดใสรับสาย
“สวัสดีค่ะปะป๊า ฟองคิดถึงป๊าจังเลย”
[ฮ่า ๆ แต่งงานแค่วันเดียวคิดถึงป๊าแล้วเหรอคะ รู้อย่างนี้ไม่ให้แต่งดีกว่าเนอะ] เสียงสดใสจากปลายสายช่วยให้หัวใจฉันอบอุ่นขึ้นมา ฉันขยับยิ้มจาง ๆ ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะยังตัดสินใจแต่งงานกับพี่ไรม์อยู่ไหม… ทั้งที่นั่นคือความฝันหนึ่งเดียวตลอดเวลาสิบกว่าปีของฉันแท้ ๆ ไม่รู้ทำไมตอนนี้ฉันกลับลังเลขึ้นมา
“ป๊าละก็” ฉันทำเสียงปกติแล้วนั่งลงบนโซฟารับแขก วันนี้ฉันตั้งใจว่าจะออกไปซูเปอร์มาเก็ตเพื่อหาซื้อวัตถุดิบมาเก็บไว้ในตู้เย็นบ้าง อย่างน้อยเวลาเหงา ๆ ฉันก็ทำอาหารแก้เหงาแทนได้
[ป๊าจะโทรมาบอกว่าตอนนี้ป๊ากำลังจะขึ้นเครื่องกลับนิวยอร์คแล้วนะลูก] ฉันใจหายวูบ รอยยิ้มเลือนหายไปหมด
“ปะป๊า… จะกลับแล้วเหรอคะ” ฉันพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองแล้วนะ แต่มันคงยากที่ปลายสายจะจับเสียงไม่ได้ เพราะคุณพ่อคือคนที่รักและห่วงใยฉันมากที่สุดในโลกแล้ว
[อย่าทำเสียงเศร้าสิคนเก่งของป๊า ป๊าก็ยังอยากอยู่ที่นี่กับลูกนาน ๆ นะ แต่งานทางนั้นก็รัดตัวป๊าจะแย่ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยป๊าก็วางใจแล้วที่มีคนที่ลูกรักคอยดูแลลูกสาวป๊า]
ป๊าคะ… ฟองรักเขา… แต่เขาไม่ได้รักฟองเลย…
ฉันอยากจะตอบไปแบบนั้น แต่มันคงไม่ดีแน่ ฉันไม่อยากทำให้คุณพ่อต้องเป็นห่วง ท่านรักฉันมากยิ่งกว่าอะไรในโลก ถ้าหากท่านรู้ว่าพี่ไรม์ทำให้ฉันเสียใจ ท่านไม่มีทางยอมแน่ ๆ
“ฟองคงคิดถึงป๊าแย่เลยค่ะ” ฉันกลืนก้อนสะอื้นลงคอ มือบางกำโทรศัพท์แน่น
[ป๊าก็คิดถึงลูกแทบตายแน่ ๆ เฮ้อ… แต่ก็นะ การแต่งงานกับไรม์คือสิ่งที่ลูกเฝ้าฝันมานานแล้วนี่ ลูกต้องมีความสุขมาก ๆ นะฟอง ป๊าและม๊าบนสวรรค์จะคอยเป็นกำลังใจให้ลูกนะ ลูกจะต้องมีครอบครัวที่อบอุ่นและรักกันให้มาก ๆ นะลูก]
หลังจากบอกรักกันอีกสองสามคำ คุณพ่อก็วางสายไป ฉันนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ปล่อยความคิดให้จมดิ่งกับความห่วงหาอาวรณ์ของตัวเอง ก่อนจะตบแก้มเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“เอาล่ะ! ไปซูเปอร์ฯ ดีกว่า”
ว่าแต่ว่า… ซูเปอร์ฯ ไปทางไหนล่ะ?
ฉันยืนมึนงงอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของตัวเองเกือบสองนาที มองซ้ายมองขวาไปตามถนนของหมู่บ้านแล้วก็ได้แต่ถอดถอนใจ
ฉันขับรถไม่เป็น ฉันนั่งรถโดยสารไม่เป็น ฉันเพิ่งกลับมาเมืองไทยได้เดือนเดียวหลังจากไปสิบกว่าปี และที่สำคัญที่สุดคือ… ที่นี่มันคือที่ไหนเนี่ย?!
กึง
“เอ่อ ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่าครับ?” เสียงนุ่มน่าฟังทักจากหน้าประตูบ้านหลังข้าง ๆ ฉันหันมองเขาพลางยกมือป้องแดดไม่ให้ส่องตา ก่อนชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าตาของเพื่อนข้างบ้านชัด ๆ
อ่า… เขาเป็นผู้ชายร่างสูงหน้าตาดี ไม่สิ หน้าตาหล่อมากเลยล่ะ ดวงตาคมสีน้ำตาลทอแววอ่อนโยน ริมฝีปากหนาขยับยิ้มละมุนใจดี เขาน่าจะอายุมากกว่าฉันประมาณสองสามปี
“เอ๊ะ เพิ่งย้ายมาใหม่ใช่ไหมครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“คะ? เอ่อ… สะ สวัสดีค่ะ ฟอง… เอ่อ ชื่ออองฟองค่ะ เพิ่งย้ายมาเมื่อวานนี้เองค่ะ” ฉันก็ไม่รู้ว่าปกติแล้วต้องแนะนำตัวกับเพื่อนบ้านยังไง แต่ดูเหมือนท่าทางเก้อ ๆ เกร็ง ๆ ของฉันจะทำให้เขาขำพอสมควร
“อ้อ ชื่ออองฟองสินะ ดูจากหน้าตาแล้วคงอายุน้อยกว่า งั้นขอแทนตัวเองว่าพี่นะครับ พี่ชื่อเตโช เรียกพี่โชเฉย ๆ ก็ได้นะน้องอองฟอง”
“เอ๊ะ… คะ?” ฉันเงยหน้ามองผู้ชายร่างสูงตรงหน้าด้วยความงุนงง อยู่ดี ๆ เขาก็พูดคุยแบบกันเองกับฉัน แถมยังแนะนำตัวด้วยท่าทางสนิทสนม แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเกร็งด้วย “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่โช เอ่อ เรียกฟองก็ได้ค่ะ”
“อ่า โอเค ว่าแต่เรากำลังจะไปไหนเหรอ พี่เห็นยืนงง ๆ หน้าบ้านมาสักพักหนึ่งแล้วเลยออกมาถาม” พี่โชยิ้มถาม หน้าตาเขาดูใจดีมาก
คล้ายใครบางคนในอดีตของฉัน…