แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาไม่ได้ทำให้จิตใจผู้หญิงคนหนึ่งหายเศร้าหมองได้เลย เธอนั่งมองวิวรอบๆที่พักจากมุมสูง สถานที่ที่เธอเลือกจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอต้องการเพียงแค่ความสงบไม่ต้องพบเจอใคร ไม่ต้องมีใครรู้จัก ยิ่งได้อยู่ในที่ที่คนน้อยๆนั่นยิ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการ
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอได้เติบโตขึ้นจากเขาคนนั้น ที่ได้สอนให้เธอกล้าออกจากเซฟโซนของตัวเอง เธอตัดโลกโซเชียลของเธอออกไปจนหมด ไม่ติดต่อใคร แม้กระทั่งพี่สะใภ้ที่เธอสนิทมากที่สุด คีตีกาคอยดูแลเธอดีตลอดที่อยู่ไทย คีตีกาเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของเธอทั้งหมด จากการบอกเล่าของเธอเอง แม้ว่าการที่เธอหนีมาอยู่ที่นี่ คีตีกาจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็ยอมเพราะเธอยืนยันว่าต้องการหนีออกมาจากชีวิตคนคนนั้นให้ไกลที่สุด
“คุณสวยและน่ารักมาก คุณชื่ออะไร?” พ่อค้าที่เห็นเธอกำลังเลือกซื้อของเอ่ยถามออกมาอย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณค่ะ ฉันชื่อลูกศรค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ เพราะประเทศที่เธอหนีมาอยู่นั้นคือ สวิตเซอร์แลนด์
ผู้คนที่นี่น่ารักมาก ใจดีและมีน้ำใจกับเธอแทบจะทุกคน อาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งแวดล้อมที่นี่ได้หลอมจิตใจให้ผู้คนในถิ่นอาศัยได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พร้อมทั้งบำบัดสภาพจิตใจให้กลายเป็นคนใจเย็นและมีสติตลอดเวลา
ลูกศรเลือกมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณ 6 เดือนกว่า ไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้เลย สิ่งเดียวที่จะทำให้ทุกคนสบายใจได้ก็คือได้รับจดหมายจากเธอที่เขียนส่งไปนานๆครั้งเท่านั้น หากแต่ในจดหมายเธอก็เลือกที่จะเขียนเป็นโปสการ์ดและไม่ใส่ที่อยู่ของเธอไปด้วย
ลูกศรกลับจากไปจ่ายตลาดในช่วงเช้า การใช้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ เธอเริ่มทำอาหารด้วยตัวเอง เริ่มจากเมนูง่ายๆอย่างแซนด์วิช น้ำผลไม้คั้นสดในมื้อเช้า ตอนบ่ายถ้าหิวก็จะเลือกเป็นไส้กรอกทอด สลัด ข้าวสวยร้อนๆ กินอย่างนี้สลับๆกันไปในแต่ละวัน
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าได้รับเมลที่ดิฉันส่งไปให้หรือยังคะ”
(....)
“ค่ะได้ค่ะ ถ้าหากว่าทราบผลอย่างไรรบกวนแจ้งกลับมาทางอีเมลเดิมได้เลยนะคะ”
ลูกศรวางโทรศัพท์ลงข้างๆ ก่อนจะหันไปเริ่มพิมพ์งานในโน้ตบุ๊กต่อ อาชีพที่เธอทำอยู่ที่นี่คืองานรับรีวิวสถานที่และรีวิวสินค้าในโลกออนไลน์ เพียงแค่โพสต์ลงหน้าเว็บไซต์ที่เธอสร้างขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีตามสื่อโซเชียลทั่วไปที่ฮิตกันในไทย รายได้ที่ได้รับก็ถือว่าพอเลี้ยงปากท้องตัวเองได้ แค่ไม่ต้องลำบากและต้องรอให้ที่บ้านเธอส่งมาให้ อีกอย่างเธอก็ยังมีหุ้นอยู่ในบริษัทของที่บ้าน หญิงสาวเลยคิดแค่ว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้เพื่อแก้เหงาก็เท่านั้น
ประเทศไทย
หมอหนุ่มนั่งสัปหงกอยู่กลางคลับของศิลา เขาเข้ามานั่งพร้อมกับระบายความในใจให้กับศิลาฟังตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้ทั้งสองก็เมาจนหลับคาโต๊ะกันไปทั้งคู่
Rrrr….
ศิลาคลำหาโทรศัพท์ทั้งๆที่เปลือกตายังคงปิดสนิท ชายหนุ่มหยิบเครื่องสี่เหลี่ยมขึ้นมากดรับสายแล้วก็วางไว้บนหูอย่างไม่ได้สนใจว่าใครที่โทรเข้ามา
“ฮัลโหล” เสียงงัวเงีย
(ศิลานายอยู่ไหน หายไปไหนทั้งคืน) ศิลาลืมตาขึ้นมามองหน้าจอมือถือแบบตาหยี เมื่อคุ้นว่าเสียงนี้เป็นเสียงของใคร
“เพลงเหรออยู่ที่เดิม เมื่อคืนกลับไม่ไหว”
(นอกจากฉันยังมีคนอื่นที่โทรหานายแบบนี้ด้วยเหรอศิลา นายคิดจะนอกใจฉันอีกแล้วใช่ไหม นี่ฉันท้องอยู่นะ)
“เดี๋ยวๆ ใจเย็น เธอนี่ก็ชอบยัดเยียดให้ฉันมีเมียน้อยอยู่เรื่อย เมียยิ่งท้องยิ่งสวยขนาดนี้จะให้ไปหลงใครได้อีกล่ะครับ” ชายหนุ่มเริ่มกลับมามีสติแล้ว พร้อมกับเริ่มตื่นแบบเต็มตัว เขาชันตัวลุกขึ้นมาก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ คนที่เขากินเหล้าด้วยเมื่อคืนไม่ใช่เคนหรือไฟ แต่กลับเป็นตฤณ สัตวแพทย์หนุ่มที่เคยคิดจะจีบเมียเขาเอง
(กลับบ้านเดี๋ยวนี้ ฉันให้เวลานายหนึ่งชั่วโมง ถ้ายังไม่กลับมาก็ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว)
ศิลาถอนหายใจมองโทรศัพท์มือถือที่วางสายไปแล้ว ตั้งแต่คีตีกาท้องอารมณ์เธอก็ขึ้นๆลงๆ เวลาเธอหงุดหงิดหรือเขาทำอะไรให้ไม่ถูกใจ เวลานั้นเป็นเวลาที่เหมือนซ้อมตกนรกได้ดีที่สุด
ปลั๊ก!!
“อื้มมมม อย่าพึ่งปลุกพี่ลูกศร” ชายหนุ่มที่ได้ยินชื่อน้องสาวตัวเองถึงกลับหันไปมองคนที่เอ่ยออกมาตาขวาง
“กูพี่ลูกศร...”
ตฤณได้ยินเสียงศิลาจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาดูก่อนจะต้องรีบลุกขึ้นอย่างตกใจเมื่อนึกได้ว่าเมื่อกี้พูดชื่อคนคนหนึ่งออกไป สองหนุ่มที่เคยมีคดีมองหน้ากันนิ่ง และก็เป็นศิลาเองที่ต้องเป็นฝ่ายออกจากความนิ่งงันเพราะเมียรักโทรเข้ามาตามอีกครั้ง
หมอตฤณถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นศิลาเดินพ้นประตูไป เขากลับมานั่งกับตัวเองพลางยกมือขึ้นปิดใบหน้าเพราะความอ่อนแอที่เขากำลังเป็นในตอนนี้ มันกำลังเอ่อล้น
“พี่ขอโทษ เธอจะหนีพี่ไปจริงๆเหรอ” ตฤณพรรณนาถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาสำนึกตัวได้ช้าไป และความผิดในครั้งนี้เธอไม่ให้โอกาสเขาได้แก้ตัวเลยสักครั้ง
บ้านศิลาและเพลง
ศิลากับเพลงกำลังช่วยกันเลือกสีห้องของลูกสาวตัวน้อยในท้อง ชายหนุ่มไม่ขัดใจเมียรักเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะความผิดที่เขาไม่กลับบ้าน วันที่ตื่นมาเจอกับหมอตฤณวันนั้น ทำให้เขาต้องก้มหน้ารับคำด่าจากเมียอย่างจำนน
“เพลงอยากให้ห้องของลูกดูไม่หวานไป แล้วก็ไม่ต้องมีสีสันมากเกินไป อยากได้เรียบๆ เขาโตขึ้นจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองทำห้องใหม่ ศิว่าดีไหม”
“ดีครับ เพลงอยากได้แบบไหนศิตามใจเพลงอยู่แล้ว” คีตีกาช้อนสายตามองหน้าสามีที่นั่งยิ้มตาหยีข้างๆ หญิงสาวทำตาค้อนใส่คนเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันไปคุยกับสถาปนิกต่อ
“งั้นเอาเป็นว่าตามนี้แล้วกันค่ะ เพลงเหลือเวลาอีกประมาณสามเดือน ยัยหนูในท้องก็จะออกมา เวลาแค่นี้พอไหมคะ เพลงอยากให้เสร็จทัน”
“น่าจะทันครับคุณเพลง เดี๋ยวยังไงผมจะเร่งทางช่างให้เข้ามาทำให้ไวที่สุด” สถาปนิกหนุ่มพูดพร้อมกับส่งสายตาหวานให้กับลูกค้าสาว ทำเอาสามีขี้หึงอย่างศิลารู้สึกไม่พอใจ
“ถ้าเสร็จแล้วก็ออกไปได้”
สถาปนิกหนุ่มรีบเก็บข้าวของอย่างลวกๆ เมื่อเห็นสายตาของประธานบริษัทสื่อโฆษณามองเหมือนกับสามารถฆ่าเขาได้ในตอนนี้ทันที เพลงช้อนสายตามองสามีก่อนจะส่ายหัวยอมที่ขนาดเธอท้องโตขนาดนี้เขายังจะมาหึง
“ศิได้คุยกับลูกศรบ้างไหม น้องไม่ยอมติดต่อเพลงมาเลย ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง” คีตีกาเดินขึ้นมานอนอยู่บนเตียงข้างๆเขา ก่อนจะทำหน้าเศร้าเพราะเป็นห่วงเด็กสาวที่หนีหายไปเลย
“ไม่อ่ะ มันโตแล้วมันดูแลตัวเองได้เพลง ไม่ต้องห่วงมันหรอก”
“น้องเป็นผู้หญิงนะ อีกอย่างน้องเคยมีแต่คนคอยจัดการให้ทุกอย่าง ตอนนี้หนีไปอยู่คนเดียวอะไรก็ไม่ทิ้งไว้ให้ติดต่อเลย จะไม่ให้เพลงห่วงได้ยังไง”
“ขนาดเวลามันมีอะไรก็บอกเพลงตลอด แต่เรื่องนี้มันกลับไม่อยากให้ใครรู้เลยเหรอ อืม แปลก” พี่ชายเริ่มรู้สึกเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมา เขาเองก็คิดว่าภรรยาน่าจะรู้และคุยกับน้องสาวของเขาอยู่แล้ว เลยไม่คิดเป็นห่วงมากนัก แต่ถ้าเมียเขายังไม่รู้แสดงว่าน้องสาวของเขาคงกำลังหนีอะไรที่ไม่อยากเจออยู่แน่ๆ
ศิลานึกย้อนกลับไปยังวันที่สลบอยู่ที่คลับ วันนั้นเขามั่นใจว่าหมอตฤณพูดชื่อลูกศรออกมาจริงๆ และเหมือนกับว่าเขาแค่ทำเหมือนกับความเคยชินตอนที่มีคนมาปลุก
“ถ้าน้องติดต่อมาศิบอกเพลงด้วยแล้วกันนะ เพลงง่วงแล้วเพลงนอนก่อ….” ศิลาหันไปมองหน้าภรรยาสาวที่หลับสนิทไปแล้วทั้งๆที่ยังพูดไม่จบเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มขยับตัวนอนลงหันตะแคงข้างไปหาแม่ของลูกพร้อมกับขยับเข้าไปกอดร่างบางที่ตอนนี้พุงยื่นออกมาเยอะจนเขาไม่สามารถเข้าไปชิดเธอได้เหมือนเดิม ศิลาปิดเปลือกตาลงใช้เวลาเพียงไม่นานก็หลับลึกตามอีกคนไป