“ไม่ต้องสนใจ” ผมพูดขึ้นเสียงเข้มพลางดันร่างบางไปที่เตียงทันที ใครจะมาก็ช่างแม่ง ผมไม่สนทั้งนั้น แต่...
“ผิง! เปิดประตูให้พ่อหน่อย ทำอะไรอยู่” เสียงที่ดังมาจากด้านนอกทำให้เธอและผมหยุดการกระทำ หันขวับมองบานประตูแทบจะพร้อมกัน เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากคนใต้ร่างอย่างเลื่อนลอย แถมหน้าเธอยังถอดสีอย่างเห็นได้ชัด
“พะ...พ่อ ซวยแล้ววว”
“เวรเอ๊ย!” ผมสบถออกมาด้วยโทนเสียงไม่แตกต่าง แล้วผละออกจากร่างบางทันที ก่อนจะยกมือขึ้นยีผมอย่างหัวเสีย มาทำอะไรตอนนี้วะ ปัญหาเกิดแน่ๆ ถ้าพ่อยัยน้องผิงผิงนี่เข้ามาเจอสภาพเราสองคนแบบนี้ มีหวังโดนจับแต่งแหงๆ เสียงเคาะประตูก็ยังคงเร่งเร้าไม่หยุด
“หลบไหน” ผมถามเจ้าของห้องพลางจ้องหน้าเธอเขม็ง
“ละ...หลบไหนดีอะ อ๋อ ระเบียง...”
สิ้นเสียงลุกลี้ลุกลนของผิงผิง ผมก็พุ่งตัวออกไปนอกระเบียงด้วยความเร็วแสง โดยเธอยังตามมาจัดระเบียบผ้าม่านแล้วลงกลอนอย่างดี แต่ผมไม่ได้โล่งอกเลยสักนิด ถ้าไม่อยู่ในห้องนี้น่าจะปลอดภัยกว่า...ไวกว่าความคิดคือผมปีนระเบียงโดดข้ามไปห้องข้างๆ เรียบร้อยแล้ว
เฮ้ย!!!
ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อหันมาจ๊ะเอ๋เข้ากับเจ้าของห้องที่ผมเพิ่งปีนข้ามมาถึงหมาดๆ เวรแล้วไง นึกว่าไม่มีคนอยู่ ซวยบรรลัยเลยกู
อร๊ายยยย...อุ๊บบบ!
เธอเอามือขึ้นปิดตาและกรีดร้องสุดเสียง ส่งผลให้ผมต้องพุ่งเข้าชาร์จ มือข้างหนึ่งส่งไปอุดปาก ส่วนแขนอีกข้างล็อกตัวเธอไว้แน่น พลางดันคนตัวเล็กกลับเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ ฝ่าเท้าถูกใช้เลื่อนประตูปิดสนิท เพราะกลัวห้องข้างๆ จะได้ยิน ถ้าความแตกเป็นเรื่องแน่
“อื้อออ อ่อยอะ” เธอส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอพลางดิ้นขลุกอยู่ในอ้อมกอดผม แรงเยอะซะด้วย เหอะ! แต่ผมแค่จะขอผ่านทางเพื่อออกจากที่นี่เฉยๆ เอง ไม่ได้จะทำร้ายใครสักหน่อย
“ชู่วววว์ เงียบ! ฉันจะปล่อยเธอ แต่อย่าร้องนะ” ผมบอกสาวน้อยในอ้อมกอดด้วยโทนเสียงที่อ่อนโยนที่สุด เพื่อไม่ให้เธอตกใจกลัวมากไปกว่านี้ และเหมือนเธอจะเข้าใจนะ ผมเห็นว่าเธอนิ่งเงียบ เลยค่อยๆ คลายมือออกแต่ยังไม่ทันหลุดดี ยัยตัวเล็กออกแรงผลักผมแล้ววิ่งไปที่ประตูพร้อมจะตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยดะ...อุ๊บบบ”
แต่ผมอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่า ก้าวได้ไวกว่า ดึงเจ้าของห้องตัวน้อยเข้าสู่อ้อมกอดแน่นจนแผ่นหลังแนบชิดแผงอกแข็งแรง พร้อมยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เธอส่งเสียง และพาเธอถอยให้ห่างจากประตูมากที่สุด
“แม่งเอ๊ย! บอกให้เงียบ!!” ผมตะคอกเสียงลั่นด้วยความหงุดหงิด คือเธอแม่งไม่ฟังเลยและผมก็ไม่ใช่คนมีความอดทนขนาดนั้นไหม
“อื้อออ...อ่อย อื้ออออ” ยัง...ยังดิ้นไม่หยุด
“จิ๊! ทำไมดื้อจังวะ จับกดแม่งเลยดีมะ”
สิ้นเสียงผม คนตัวเล็กชะงักไปในทันที ยืนนิ่งแข็งทื่อไม่ไหวติง เหอะ! คำขู่ของผมได้ผลเฉย เล่นซะเหนื่อยเลย ผู้หญิงบ้าอะไรวะ แรงเยอะชะมัด
“เออ! เงียบได้สักทีซินะ ถ้าขืนยังดื้ออีกละก็ ฉันทำจริงๆ แน่!” ผมข่มขู่เธอหนักขึ้นไปอีก แต่บางทีก็อาจจะไม่ได้แค่ขู่ ถ้าเธอยังกระตุ้นอารมณ์ผมอยู่แบบนี้ ผู้หญิงอะไรตัวหอมเป็นบ้าหรือผมอาจจะแค่ค้างจากยัยน้องผิงผิงนั่น มันก็เลยมีแต่เรื่องอย่างว่าแล่นเข้าหัวผมเต็มไปหมด เวรจริงๆ ยิ่งกอดไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ ผมเลยปล่อยเธอให้เป็นอิสระและหันกลับมาจัดการติดกระดุมเสื้อตัวเองทันที วันนี้แม่ง ซวยสุดๆ ค้าง กู ค้างเหี้ยๆ
แกร่งงงง!!
เสียงโลหะบางอย่างตกกระทบพื้นจังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้าย พบว่าเจ้าของห้องตัวน้อยยืนทำหน้าเหวออยู่ตรงซิงค์ล้างจานในโซนห้องครัวซึ่งไม่ไกลจากจุดที่ผมยืนเท่าไหร่ ดวงตากลมโตเบิกกว้างจนแทบถลนออกจากเบ้าพร้อมจ้องหน้าผมนิ่ง
เดี๋ยวนะ...ท่าทางแบบนั้นเหมือนเธอตกตะลึงอะไรสักอย่าง หึ และผมว่าผมรู้นะ ว่าเธอกำลังตะลึงกับอะไร ผมขยับเท้าเข้าไปหาเธอ ก่อนจะหยุดในระยะประชิด แต่ดูเหมือนสติเธอจะเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว ผมค่อยๆ โน้มหน้าลงไปให้อยู่ระดับเดียวกันพร้อมเอ่ยแซวขึ้นแบบขำๆ
“ตะลึงในความหล่อของฉันขนาดนั้นเลยเหรอสาวน้อย หึ!”