ความมืดหลังตะเกียงดับลงไม่ได้เงียบงันอย่างที่หลิงเจวี๋ยคาดหวัง หากกลับหนักอึ้งราวกับทั้งตำหนักเฉิงเทียนหายใจรอคำตอบจากเขา ร่างสูงยืนนิ่งกลางความมืดดุจแท่นหินไร้คำพูด มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นดังเกินกว่าจะเป็นของมือสังหารที่เติบโตมากับความตาย
เขาเกลียดเสียงหัวใจตัวเอง—เพราะมันคือสิ่งที่ไม่ควรมีตั้งแต่แรก
เงาไม่ควรมีใจ
เงาควรนิ่งเย็น และทำตามคำสั่งเท่านั้น
แต่ชายตรงหน้าที่ถูกสั่งให้ฆ่า
กลับเรียกชื่อที่ไม่มีผู้ใดรู้
ชื่อที่ไม่ควรมีในโลกนี้ของเขา
“…หลิงเอ๋อร์…”
เสียงนั้นยังคงดังก้องในหู
หลิงเจวี๋ยกัดฟันแน่น พยายามมองในความมืด แต่สายตาของเขาคุ้นชินกับแสงน้อยเป็นทุนเดิม สิ่งแรกที่เขามองหาคือมีดที่หล่นเมื่อครู่ เขาก้มลงเก็บอย่างรวดเร็ว ปลายมีดเย็นเฉียบในมือทำให้หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของเขากลับมานิ่งลงเล็กน้อย
ข้ามีภารกิจ ข้าต้องลบเสียงนั้นออกไป
ยังไม่ทันได้คิดต่อ เสียงฝีเท้าอ่อนเบาก็ดังขึ้นด้านหน้า
“เจ้าไม่ควรทำมีดหลุดมือง่าย ๆ เช่นนี้นะ”
เสียงอี้หานดังจากในความมืด นุ่มลึกและมั่นคง ราวกับคนที่ไม่เคยหวาดกลัวความตายสักครั้ง
หลิงเจวี๋ยหันขวับ—แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เขากลับรู้สึกถึงแรงดึงเบา ๆ จากข้อมือ
สายตาของเขาปรับเข้าสู่ความมืดอย่างรวดเร็ว เห็นปลายนิ้วเรียวยาวของอี้หานแตะที่ข้อมือเขาเบา ๆ
แค่ปลายสัมผัส แต่เหมือนดึงลมหายใจทั้งหมดของหลิงเจวี๋ยออกไป
“ปล่อย”
เขาสะบัดมือทันที ไม่ใช่เพราะกลัวถูกจับ แต่เพราะกลัวบางอย่างในใจตัวเองมากกว่า
อี้หานยังคงยืนนิ่ง
“เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”
“หยุดพูดราวกับรู้จักข้า!” หลิงเจวี๋ยตะคอกครั้งแรกในรอบหลายปี “ข้าไม่รู้จักเจ้า—และข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ตาย”
ร่างในชุดขาวยิ้มบาง
“หากข้าคือผู้ตาย เจ้าคงฆ่าข้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาแล้ว”
คำพูดนั้นแทงเข้ากลางใจอย่างแม่นยำ
เพราะมันคือความจริง
เขา—ฆ่าไม่ได้
หลิงเจวี๋ยหันหน้าหนี
เขาต้องตัดสายสัมพันธ์นี้ทิ้ง แม้มันจะเป็นเพียงคำพูดก็ตาม
แต่ยังไม่ทันได้หลบหายไปจากห้อง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากนอกตำหนัก
“ท่านอี้หาน! องครักษ์หลวงรายงานว่ามีผู้บุกรุกเขตใน! โปรดอยู่ในตำแหน่ง—เราจะเปิดประตูเข้าไป!”
หลิงเจวี๋ยชะงัก
เสียงนั้นห่างออกไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ น่าจะมาจากกองทหารเวรยามของราชสำนัก ไม่ใช่องครักษ์ประจำตำหนักเฉิงเทียน
ถ้าพวกนั้นบุกเข้ามา…
เขาต้องเผชิญหน้ากับทหารหลวงตรง ๆ
ซึ่งจะทำให้ภารกิจล้มเหลวทันที—และตัวเขาถูกเปิดเผย
อี้หานยกมือแตะประตูแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่ต้องเข้ามา ข้าไม่เป็นอะไร”
เสียงจากด้านนอกกลับตอบด้วยความกังวลมากกว่าเดิม
“แต่ใต้เท้า! รายงานบอกว่ามีคนสวมชุดลายมังกรอยู่ในตำหนัก!”
หลิงเจวี๋ยดึงหน้ากากลงอีกครั้ง—เตรียมกำลัง
เขาพร้อมจะสังหารเพื่อหนี
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาไม่ใช่การต่อสู้
อี้หานมองเขา แล้วพูดเสียงแผ่ว แต่หนักกว่าทุกคำ
“เจ้าอยากหนี ข้าจะให้เจ้าออกไปอย่างปลอดภัย”
หลิงเจวี๋ยขมวดคิ้ว
“เจ้าไม่มีสิทธิ์สั่งทหารหลวง—”
“แต่พวกเขาเชื่อข้า”
อี้หานยิ้ม
“ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง แต่เพราะบางเรื่องที่เจ้าจะต้องรู้…เมื่อถึงเวลา”
จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไป
“คนของข้าบริเวณด้านในเกิดเสียงเพราะของตก ไม่ใช่ผู้บุกรุก พวกเจ้าอย่าเข้าใกล้!”
“แต่—”
“ข้าบอกให้ถอย!”
น้ำเสียงอี้หานครั้งนี้หนักแน่นเสียจนแม้ทหารหลวงยังจำต้องตอบรับ
เสียงฝีเท้าถอยออกไปทีละก้าวอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็เงียบหาย
เหลือเพียงเสียงลมที่ลอดผ่านหน้าต่าง
อี้หานหันกลับมาหาหลิงเจวี๋ย
“หนีทางด้านหลังตำหนัก เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่ตอนพวกนั้นกลับมา”
หลิงเจวี๋ยกำมีดแน่น
เขาไม่เคยรู้สึกแพ้ใครในด้านการควบคุมสถานการณ์
แต่ตอนนี้เขาควบคุมอะไรไม่ได้เลย
“เจ้า…ช่วยข้าทำไม”
เขาถามอย่างไม่อยากถาม
อี้หานก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว
ระยะห่างระหว่างทั้งสองค่อย ๆ ลดลงจนลมหายใจของอีกฝ่ายสัมผัสได้
“เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าหายไปอีกครั้ง”
คำพูดนั้นเหมือนเศษความทรงจำหล่นจากท้องฟ้ากระแทกหัวใจ
หลิงเจวี๋ยกัดฟัน
“เจ้าอาจพูดเพื่อล่อให้ข้าเชื่อใจ แล้วฆ่าข้าในภายหลังก็ได้”
อี้หานหัวเราะเบา ๆ
เสียงหัวเราะที่ไม่น่ามีในสถานการณ์เสี่ยงตายแบบนี้
“เจ้าไม่ต้องเชื่อข้าตอนนี้ก็ได้ แต่จำไว้อย่างหนึ่ง—”
ดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามา
ลึก…และเหมือนมีคำตอบทั้งหมดซ่อนอยู่ในนั้น
“มีบางสิ่งในตัวเจ้าที่ราชสำนักกลัวมากกว่าความสามารถในการฆ่าเสียอีก”
หลิงเจวี๋ยชะงัก
“ราชสำนัก…กลัวข้า?”
“ใช่”
อี้หานกระซิบ
“เพราะความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าถูกปิดเอาไว้ตั้งแต่เด็ก—และเกี่ยวข้องกับตัวข้ามากกว่าที่เจ้าเข้าใจ”
หัวใจของหลิงเจวี๋ยเต้นแรงขึ้นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
บางอย่างในเสียงอี้หานทำให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่แค่คำพูด
มันคือความจริงที่ถูกปิดมานาน
แต่เขายังไม่ทันถามต่อ
เสียงฝีเท้ากลุ่มใหม่ดังขึ้นจากทิศเหนือของตำหนัก—คราวนี้เป็นจำนวนมากกว่าเดิม
พร้อมกับเสียงประกาศก้อง
“ค้นทุกตำหนัก! ห้ามให้ผู้บุกรุกหนีออกไปได้เด็ดขาด!”
อี้หานหน้าถอดสีเล็กน้อย
“พวกเขาไม่เชื่อที่ข้าพูดแล้ว”
หลิงเจวี๋ยรีบประเมินทางหนี
ประตูหลังตำหนักมีสองทาง—หนึ่งเชื่อมไปลานเก็บเสบียง และอีกทางไปยังสวนหลังที่มีสระน้ำ
เขาสามารถหายตัวไปในความมืดได้ง่าย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาหยุดคิด
อี้หานจะถูกจับสอบสวนแน่หากเขาหนีไป
และถ้าราชสำนักรู้ว่ามีเงามังกรปรากฏในตำหนักนี้
เป้าหมายสังหาร—อี้หาน—จะถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
ซึ่งแปลว่า…เขาจะตาย
หลิงเจวี๋ยกัดฟัน
ข้าไม่ควรสนใจ ข้ามาเพื่อฆ่าเขา แต่กลับต้องช่วยเขา?
อี้หานมองเขาราวกับรู้ความคิดทั้งหมด
“เจ้าหนีไป ข้าจัดการได้”
“เจ้ากำลังโกหก” หลิงเจวี๋ยตอบทันควัน
อี้หานยิ้มบาง
“หากข้าตายเพราะช่วยเจ้า…เจ้าจะลืมข้าเป็นครั้งที่สองหรือไม่?”
หลิงเจวี๋ยเงียบ
เขาไม่เข้าใจว่าความโง่เขลานี้ของอี้หานมาจากไหน
ชายคนนี้ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวเขา…
หรืออาจเพราะมีบางสิ่งที่เขายังไม่รู้
เสียงแตรยามดังขึ้น
นั่นหมายถึงทหารหลวงเริ่มปิดประตูทั้งสี่ทิศของตำหนักกลางแล้ว
เวลาของเขาเหลือแค่ลมหายใจเดียว
“เจ้าไม่ควรตายตอนนี้”
หลิงเจวี๋ยพูดเสียงขุ่น ทั้งที่ใจสั่นไหวไม่หยุด
“เพราะข้ายังไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงรู้จักข้า… และทำไมข้าถึงฆ่าเจ้าไม่ได้”
อี้หานยิ้ม
“ดีแล้วล่ะ ที่เจ้าอยากรู้”
หลิงเจวี๋ยจับแขนเสื้อของเขา
“ตามข้ามา—อย่าส่งเสียง”
อี้หานพยักหน้าโดยไม่อิดออด
หลิงเจวี๋ยลากเขาเข้าไปในทางเดินลับที่เขาสังเกตไว้ตั้งแต่แรก
ร่างทั้งสองเคลื่อนผ่านแสงจันทร์ที่ลอดหน้าต่างมาแค่เสี้ยววินาที แล้วหายไปในเงามืด
แต่เพียงชั่วครู่—เสียงตะโกนจากทหารหลวงก็ดังสะท้อนไปทั่ว
“เจอตัวแล้ว! มันอยู่ในตำหนักหลัง! ล้อมไว้ทั้งหมด!”
หลิงเจวี๋ยกระชากอี้หานให้วิ่ง
หัวใจทั้งสองเต้นดังไปทั่วผนังไม้และพื้นหินของตำหนัก
ทั้งสองร่างพุ่งไปในความมืดอย่างรวดเร็ว แต่เสียงทหารหลวงไล่ตามเข้ามาใกล้ทุกที
และในวินาทีนั้นเอง
อี้หานพูดขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่ไล่ตาม
“หลิงเอ๋อร์… ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้”
“อะไรอีกล่ะ!” เขาขู่เสียงต่ำ
อี้หานยิ้ม แม้เวลานั้นจะไม่มีที่ให้ยิ้มเลยก็ตาม
“ครั้งนี้…ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้า ‘หายไป’ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
หลิงเจวี๋ยชะงักไปชั่ววินาที—
พอรู้สึกตัว อีกฝ่ายก็จับเสื้อเขาแน่นขึ้น
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคืนนี้—เจ้าต้องรอดไปก่อน”
หลิงเจวี๋ยมองดวงตานั้น…
แล้วพบว่ามันเต็มไปด้วยแสงที่เขาไม่เคยได้รับจากใคร
ราวกับแสงที่เขาเคยเห็นในความทรงจำอันเลือนรางเมื่อครั้งยังเด็ก
เสียงทหารหลวงดังใกล้เข้ามา
หลิงเจวี๋ยกัดฟัน แล้วกระซิบริมใบหูอี้หาน
“ถ้าเจ้ามีค่าต่อข้าเพียงครึ่งหนึ่งของที่เจ้าพยายามทำให้ข้าเชื่อ… จงอย่าตายก่อนที่ทุกอย่างจะจบ”
อี้หานหัวเราะแผ่ว
“ข้าก็หวังเช่นนั้น—หลิงเจวี๋ย”
และในห้วงคำพูดนั้นเอง—
เงามังกรผู้ไร้หัวใจกับบุรุษลึกลับผู้เดียวที่รู้ความจริงทั้งหมด
ได้เริ่มผูกชะตาเข้าหากันอีกครั้งในยามค่ำคืนที่ไม่ควรเกิดขึ้น
เสียงทหารหลวงใกล้เข้ามา—
และทั้งสองร่าง…พุ่งเข้าสู่เงามืดพร้อมกัน