ตอนที่ 2 — คำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธ

1648 Words
ความมืดหลังตะเกียงดับลงไม่ได้เงียบงันอย่างที่หลิงเจวี๋ยคาดหวัง หากกลับหนักอึ้งราวกับทั้งตำหนักเฉิงเทียนหายใจรอคำตอบจากเขา ร่างสูงยืนนิ่งกลางความมืดดุจแท่นหินไร้คำพูด มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นดังเกินกว่าจะเป็นของมือสังหารที่เติบโตมากับความตาย เขาเกลียดเสียงหัวใจตัวเอง—เพราะมันคือสิ่งที่ไม่ควรมีตั้งแต่แรก เงาไม่ควรมีใจ เงาควรนิ่งเย็น และทำตามคำสั่งเท่านั้น แต่ชายตรงหน้าที่ถูกสั่งให้ฆ่า กลับเรียกชื่อที่ไม่มีผู้ใดรู้ ชื่อที่ไม่ควรมีในโลกนี้ของเขา “…หลิงเอ๋อร์…” เสียงนั้นยังคงดังก้องในหู หลิงเจวี๋ยกัดฟันแน่น พยายามมองในความมืด แต่สายตาของเขาคุ้นชินกับแสงน้อยเป็นทุนเดิม สิ่งแรกที่เขามองหาคือมีดที่หล่นเมื่อครู่ เขาก้มลงเก็บอย่างรวดเร็ว ปลายมีดเย็นเฉียบในมือทำให้หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของเขากลับมานิ่งลงเล็กน้อย ข้ามีภารกิจ ข้าต้องลบเสียงนั้นออกไป ยังไม่ทันได้คิดต่อ เสียงฝีเท้าอ่อนเบาก็ดังขึ้นด้านหน้า “เจ้าไม่ควรทำมีดหลุดมือง่าย ๆ เช่นนี้นะ” เสียงอี้หานดังจากในความมืด นุ่มลึกและมั่นคง ราวกับคนที่ไม่เคยหวาดกลัวความตายสักครั้ง หลิงเจวี๋ยหันขวับ—แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เขากลับรู้สึกถึงแรงดึงเบา ๆ จากข้อมือ สายตาของเขาปรับเข้าสู่ความมืดอย่างรวดเร็ว เห็นปลายนิ้วเรียวยาวของอี้หานแตะที่ข้อมือเขาเบา ๆ แค่ปลายสัมผัส แต่เหมือนดึงลมหายใจทั้งหมดของหลิงเจวี๋ยออกไป “ปล่อย” เขาสะบัดมือทันที ไม่ใช่เพราะกลัวถูกจับ แต่เพราะกลัวบางอย่างในใจตัวเองมากกว่า อี้หานยังคงยืนนิ่ง “เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” “หยุดพูดราวกับรู้จักข้า!” หลิงเจวี๋ยตะคอกครั้งแรกในรอบหลายปี “ข้าไม่รู้จักเจ้า—และข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักผู้ตาย” ร่างในชุดขาวยิ้มบาง “หากข้าคือผู้ตาย เจ้าคงฆ่าข้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาแล้ว” คำพูดนั้นแทงเข้ากลางใจอย่างแม่นยำ เพราะมันคือความจริง เขา—ฆ่าไม่ได้ หลิงเจวี๋ยหันหน้าหนี เขาต้องตัดสายสัมพันธ์นี้ทิ้ง แม้มันจะเป็นเพียงคำพูดก็ตาม แต่ยังไม่ทันได้หลบหายไปจากห้อง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากนอกตำหนัก “ท่านอี้หาน! องครักษ์หลวงรายงานว่ามีผู้บุกรุกเขตใน! โปรดอยู่ในตำแหน่ง—เราจะเปิดประตูเข้าไป!” หลิงเจวี๋ยชะงัก เสียงนั้นห่างออกไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ น่าจะมาจากกองทหารเวรยามของราชสำนัก ไม่ใช่องครักษ์ประจำตำหนักเฉิงเทียน ถ้าพวกนั้นบุกเข้ามา… เขาต้องเผชิญหน้ากับทหารหลวงตรง ๆ ซึ่งจะทำให้ภารกิจล้มเหลวทันที—และตัวเขาถูกเปิดเผย อี้หานยกมือแตะประตูแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องเข้ามา ข้าไม่เป็นอะไร” เสียงจากด้านนอกกลับตอบด้วยความกังวลมากกว่าเดิม “แต่ใต้เท้า! รายงานบอกว่ามีคนสวมชุดลายมังกรอยู่ในตำหนัก!” หลิงเจวี๋ยดึงหน้ากากลงอีกครั้ง—เตรียมกำลัง เขาพร้อมจะสังหารเพื่อหนี ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาไม่ใช่การต่อสู้ อี้หานมองเขา แล้วพูดเสียงแผ่ว แต่หนักกว่าทุกคำ “เจ้าอยากหนี ข้าจะให้เจ้าออกไปอย่างปลอดภัย” หลิงเจวี๋ยขมวดคิ้ว “เจ้าไม่มีสิทธิ์สั่งทหารหลวง—” “แต่พวกเขาเชื่อข้า” อี้หานยิ้ม “ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง แต่เพราะบางเรื่องที่เจ้าจะต้องรู้…เมื่อถึงเวลา” จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไป “คนของข้าบริเวณด้านในเกิดเสียงเพราะของตก ไม่ใช่ผู้บุกรุก พวกเจ้าอย่าเข้าใกล้!” “แต่—” “ข้าบอกให้ถอย!” น้ำเสียงอี้หานครั้งนี้หนักแน่นเสียจนแม้ทหารหลวงยังจำต้องตอบรับ เสียงฝีเท้าถอยออกไปทีละก้าวอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็เงียบหาย เหลือเพียงเสียงลมที่ลอดผ่านหน้าต่าง อี้หานหันกลับมาหาหลิงเจวี๋ย “หนีทางด้านหลังตำหนัก เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่ตอนพวกนั้นกลับมา” หลิงเจวี๋ยกำมีดแน่น เขาไม่เคยรู้สึกแพ้ใครในด้านการควบคุมสถานการณ์ แต่ตอนนี้เขาควบคุมอะไรไม่ได้เลย “เจ้า…ช่วยข้าทำไม” เขาถามอย่างไม่อยากถาม อี้หานก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว ระยะห่างระหว่างทั้งสองค่อย ๆ ลดลงจนลมหายใจของอีกฝ่ายสัมผัสได้ “เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าหายไปอีกครั้ง” คำพูดนั้นเหมือนเศษความทรงจำหล่นจากท้องฟ้ากระแทกหัวใจ หลิงเจวี๋ยกัดฟัน “เจ้าอาจพูดเพื่อล่อให้ข้าเชื่อใจ แล้วฆ่าข้าในภายหลังก็ได้” อี้หานหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะที่ไม่น่ามีในสถานการณ์เสี่ยงตายแบบนี้ “เจ้าไม่ต้องเชื่อข้าตอนนี้ก็ได้ แต่จำไว้อย่างหนึ่ง—” ดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามา ลึก…และเหมือนมีคำตอบทั้งหมดซ่อนอยู่ในนั้น “มีบางสิ่งในตัวเจ้าที่ราชสำนักกลัวมากกว่าความสามารถในการฆ่าเสียอีก” หลิงเจวี๋ยชะงัก “ราชสำนัก…กลัวข้า?” “ใช่” อี้หานกระซิบ “เพราะความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าถูกปิดเอาไว้ตั้งแต่เด็ก—และเกี่ยวข้องกับตัวข้ามากกว่าที่เจ้าเข้าใจ” หัวใจของหลิงเจวี๋ยเต้นแรงขึ้นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว บางอย่างในเสียงอี้หานทำให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่แค่คำพูด มันคือความจริงที่ถูกปิดมานาน แต่เขายังไม่ทันถามต่อ เสียงฝีเท้ากลุ่มใหม่ดังขึ้นจากทิศเหนือของตำหนัก—คราวนี้เป็นจำนวนมากกว่าเดิม พร้อมกับเสียงประกาศก้อง “ค้นทุกตำหนัก! ห้ามให้ผู้บุกรุกหนีออกไปได้เด็ดขาด!” อี้หานหน้าถอดสีเล็กน้อย “พวกเขาไม่เชื่อที่ข้าพูดแล้ว” หลิงเจวี๋ยรีบประเมินทางหนี ประตูหลังตำหนักมีสองทาง—หนึ่งเชื่อมไปลานเก็บเสบียง และอีกทางไปยังสวนหลังที่มีสระน้ำ เขาสามารถหายตัวไปในความมืดได้ง่าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาหยุดคิด อี้หานจะถูกจับสอบสวนแน่หากเขาหนีไป และถ้าราชสำนักรู้ว่ามีเงามังกรปรากฏในตำหนักนี้ เป้าหมายสังหาร—อี้หาน—จะถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งแปลว่า…เขาจะตาย หลิงเจวี๋ยกัดฟัน ข้าไม่ควรสนใจ ข้ามาเพื่อฆ่าเขา แต่กลับต้องช่วยเขา? อี้หานมองเขาราวกับรู้ความคิดทั้งหมด “เจ้าหนีไป ข้าจัดการได้” “เจ้ากำลังโกหก” หลิงเจวี๋ยตอบทันควัน อี้หานยิ้มบาง “หากข้าตายเพราะช่วยเจ้า…เจ้าจะลืมข้าเป็นครั้งที่สองหรือไม่?” หลิงเจวี๋ยเงียบ เขาไม่เข้าใจว่าความโง่เขลานี้ของอี้หานมาจากไหน ชายคนนี้ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวเขา… หรืออาจเพราะมีบางสิ่งที่เขายังไม่รู้ เสียงแตรยามดังขึ้น นั่นหมายถึงทหารหลวงเริ่มปิดประตูทั้งสี่ทิศของตำหนักกลางแล้ว เวลาของเขาเหลือแค่ลมหายใจเดียว “เจ้าไม่ควรตายตอนนี้” หลิงเจวี๋ยพูดเสียงขุ่น ทั้งที่ใจสั่นไหวไม่หยุด “เพราะข้ายังไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงรู้จักข้า… และทำไมข้าถึงฆ่าเจ้าไม่ได้” อี้หานยิ้ม “ดีแล้วล่ะ ที่เจ้าอยากรู้” หลิงเจวี๋ยจับแขนเสื้อของเขา “ตามข้ามา—อย่าส่งเสียง” อี้หานพยักหน้าโดยไม่อิดออด หลิงเจวี๋ยลากเขาเข้าไปในทางเดินลับที่เขาสังเกตไว้ตั้งแต่แรก ร่างทั้งสองเคลื่อนผ่านแสงจันทร์ที่ลอดหน้าต่างมาแค่เสี้ยววินาที แล้วหายไปในเงามืด แต่เพียงชั่วครู่—เสียงตะโกนจากทหารหลวงก็ดังสะท้อนไปทั่ว “เจอตัวแล้ว! มันอยู่ในตำหนักหลัง! ล้อมไว้ทั้งหมด!” หลิงเจวี๋ยกระชากอี้หานให้วิ่ง หัวใจทั้งสองเต้นดังไปทั่วผนังไม้และพื้นหินของตำหนัก ทั้งสองร่างพุ่งไปในความมืดอย่างรวดเร็ว แต่เสียงทหารหลวงไล่ตามเข้ามาใกล้ทุกที และในวินาทีนั้นเอง อี้หานพูดขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่ไล่ตาม “หลิงเอ๋อร์… ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้” “อะไรอีกล่ะ!” เขาขู่เสียงต่ำ อี้หานยิ้ม แม้เวลานั้นจะไม่มีที่ให้ยิ้มเลยก็ตาม “ครั้งนี้…ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้า ‘หายไป’ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว” หลิงเจวี๋ยชะงักไปชั่ววินาที— พอรู้สึกตัว อีกฝ่ายก็จับเสื้อเขาแน่นขึ้น “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคืนนี้—เจ้าต้องรอดไปก่อน” หลิงเจวี๋ยมองดวงตานั้น… แล้วพบว่ามันเต็มไปด้วยแสงที่เขาไม่เคยได้รับจากใคร ราวกับแสงที่เขาเคยเห็นในความทรงจำอันเลือนรางเมื่อครั้งยังเด็ก เสียงทหารหลวงดังใกล้เข้ามา หลิงเจวี๋ยกัดฟัน แล้วกระซิบริมใบหูอี้หาน “ถ้าเจ้ามีค่าต่อข้าเพียงครึ่งหนึ่งของที่เจ้าพยายามทำให้ข้าเชื่อ… จงอย่าตายก่อนที่ทุกอย่างจะจบ” อี้หานหัวเราะแผ่ว “ข้าก็หวังเช่นนั้น—หลิงเจวี๋ย” และในห้วงคำพูดนั้นเอง— เงามังกรผู้ไร้หัวใจกับบุรุษลึกลับผู้เดียวที่รู้ความจริงทั้งหมด ได้เริ่มผูกชะตาเข้าหากันอีกครั้งในยามค่ำคืนที่ไม่ควรเกิดขึ้น เสียงทหารหลวงใกล้เข้ามา— และทั้งสองร่าง…พุ่งเข้าสู่เงามืดพร้อมกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD