ลมยามค่ำคืนแผ่วผ่านยอดสนในจวนรองอาลักษณ์ ราวกับเสียงกระซิบเตือนผู้ใดก็ตามที่คิดจะล่วงล้ำความสงบ แต่เงาหนึ่งกลับเร้นกายเคลื่อนไปตามเงาทาบยาวบนกำแพงอย่างไร้เสียง ไร้การเคลื่อนไหวที่บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์
หลิงเจวี๋ยกลับเข้ามาในจวนอี้หานอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อสังหาร
แต่เพื่อค้นหาความจริง
เขายืนอยู่ใต้ชายคาอาคารด้านทิศเหนือที่ลมอ่อนพัดผ่าน ใบสนกระทบกันเป็นเสียงบางเบา เมื่อเขาใช้สายตากวาดมองรอบด้านก็มั่นใจได้ว่า—ไม่มีใครติดตามมา เขายกมือขึ้นแตะถุงมือสีดำข้างซ้ายเบา ๆ ราวกับเป็นสัญชาตญาณก่อนลงมือทำสิ่งสำคัญ
“ข้อมูลของเขา…ต้องอยู่ในห้องทำงาน” เขาพึมพำในลำคอ
ร่างสูงเคลื่อนไปตามกำแพง ใช้จุดบอดของแสงตะเกียงเป็นที่กำบัง มือขวากำด้ามมีดสั้นแน่น อีกมือหนึ่งสัมผัสผนังไม้เพื่อประเมินความเก่าใหม่ของโครงอาคาร—เพื่อคาดเดาทางลับหรือพื้นที่ซ่อนเอกสารสำคัญ
เมื่อลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงแง้ม เขาก็เลื่อนกายเข้าไปอย่างเงียบกริบ
เสียงลมหายใจของเขาหลอมรวมกับเงามืดจนแทบไม่มีสิ่งใดแยกออกได้
ภายในห้องเงียบสนิทราวกับถูกปล่อยให้ไร้คนดูแล ทั้งที่วัตถุในห้องบ่งบอกชัดว่าเจ้าของมีรสนิยมพิเศษ โต๊ะไม้หอมแกะลายมังกรประดับมุก กระดาษซิ่นหยางวางซ้อนอย่างเป็นระเบียบ ตะเกียงน้ำมันส่องแสงส้มอ่อน ๆ ชวนให้บรรยากาศอบอุ่นผิดจากที่คาด
หลิงเจวี๋ยตรงไปที่โต๊ะ
ล้วงมือเข้าใต้ผิวไม้
หาโครงลับที่มักซ่อนกลไก
ไม่นานปลายนิ้วเขาก็สะดุดเข้ากับกลไกดันเล็ก ๆ
เขากดมันลง
คลิ๊ก
ลิ้นชักลับเลื่อนออกเงียบราวไร้แรงเสียดทาน
ภายในมีเพียงกล่องไม้สีดำสนิท กลิ่นสมุนไพรติดบาง ๆ ต่างจากกลิ่นหมึกทั่วไป
เขาเปิด—
ในกล่องมีตราประทับทองคำลวดลายมังกรม้วน
ดวงตาของหลิงเจวี๋ยวูบหนึ่ง
“ตราหลวง…?”
ไม่—ไม่ใช่ตราหลวงธรรมดา
มันคือ ตราของรัชทายาท
หมายความว่า…
“อี้หาน…เกี่ยวข้องกับตำแหน่งสูงสุดงั้นหรือ?” เขาแทบไม่ยอมเชื่อสายตาตนเอง
แต่ก่อนที่เขาจะคิดได้ลึกกว่านั้น
เงาสีขาววาบผ่านปลายสายตา
พร้อมเสียงเบาสุดจะคาดเดาว่าเป็นคนหรือเงา
หลิงเจวี๋ยหันขวับ
คว้ามีดสั้นจากเอวพุ่งออกไปในท่าป้องกัน
ร่างเขาเคลื่อนไหวฉับไวราวสัตว์นักล่าที่ถูกกระตุ้นสัญชาตญาณ
แต่เป็นเพียง…
ดอกเหมยขาวหนึ่งดอกที่ปลิวเข้ามาทางหน้าต่าง
ตกลงบนพื้นเบา ๆ
ลมพัด…
และกลิ่นอ่อนหวานเฉพาะตัวที่เขาเคยได้กลิ่นบนชุดของอี้หาน
แผ่กระจายบางเบา
หัวใจเขาหยุดเต้นไปเสี้ยววินาที
—เพราะเขาได้ยินเสียงประตูเลื่อนเบา ๆ ทางด้านหลัง
หลิงเจวี๋ยหมุนตัว
ยกมีดขึ้นระดับอก
พร้อมจู่โจมในไม่ถึงครึ่งลมหายใจ
แต่เขาชะงักทันที
อี้หานยืนอยู่ตรงนั้น
ถือโคมไฟน้ำมันเล่มเล็ก
แสงอุ่นสะท้อนบนใบหน้าคมเข้มที่ดูเย็นชาอย่างประหลาด
แม้แววตาของเขาจะสงบ…แต่ลึกซึ้งจนอ่านไม่ออก
“เจ้ากำลังค้นหาอะไรในห้องของข้า…กลางดึกเช่นนี้?”
อี้หานพูดเสียงเบา
แต่มีแรงกดดันบางอย่างที่หลิงเจวี๋ยไม่เคยเห็นจากใครมาก่อน
หลิงเจวี๋ยไม่ตอบ
มือยังถือมีด
แต่เขารู้—เขาควรเก็บมัน
อย่างน้อยก็ในตอนนี้
อี้หานก้าวเข้ามาใกล้ช้า ๆ
เสียงฝีเท้าแทบไร้เสียงแต่หนักแน่น
เหมือนเจ้าของตำแหน่งที่คุ้นชินกับการสั่งการผู้คนจำนวนมาก
“เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่…หลิงเจวี๋ย”
เขาเรียกชื่อเต็มอย่างถูกต้อง
และชัดเจนว่าตั้งใจ
หลิงเจวี๋ยกัดฟันในความเงียบ
แต่ก่อนที่เขาจะหาทางตอบ อี้หานก็พูดขึ้นก่อน
“กล่องนั้น ไม่ใช่ของข้า”
หลิงเจวี๋ยเลิกคิ้ว “หึ? แล้วของใคร”
“ของวังหลวงส่งมาให้ผู้ดูแลเอกสารของที่นี่…ไม่ใช่ของข้าด้วยซ้ำ”
อี้หานยิ้มมุมปากแบบที่อ่านไม่ออก
สร้างความระแคะระคายมากกว่าคลายสงสัย
หลิงเจวี๋ยกวาดตามองอีกฝ่าย
เสื้อคลุมสีขาวลายเมฆเรียบง่าย
ผมยาวมัดหลวม
ตาเรียวนิ่งราวคนที่รู้อนาคตของทุกคนในห้องนี้
ชายคนนี้…
ไม่ใช่แค่ “เป้าหมาย”
ไม่ใช่ “ผู้ถูกลอบสังหาร”
ไม่ใช่ “ท่านชายป่วย”
ไม่ใช่ “ผู้ดูแลเอกสาร”
เขาคือบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้นมาก
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงถามว่า ‘เจ้าคือใคร’ ในวันที่เราพบกันครั้งแรก” หลิงเจวี๋ยเอ่ยเสียงต่ำ
อี้หานหยุด
แล้วมองเขา—นานกว่าที่ควรจะเป็น
“…เพราะข้ารู้จักกลิ่นโลหิตบนตัวเจ้า”
เขาตอบเรียบ ๆ
คำตอบนั้นเล่นงานหลิงเจวี๋ยราวกับหมัดหนัก
เพราะมันคือสิ่งที่ไม่เคยมีใครพูดออกมา…ตรงไปตรงมาขนาดนี้
“เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา”
อี้หานขยับเข้ามาใกล้
จนแสงโคมสะท้อนบนดวงตาของเขาชัดเจน
หลิงเจวี๋ยถามกลับ “แล้วเจ้าล่ะ?”
อี้หานยิ้ม
ยิ้มแบบที่ราวกับรู้มากกว่าที่พูด
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้”
เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงคำเตือน “แต่ข้าขอเตือนเจ้า…อย่าทำให้ข้าต้องเป็นศัตรูกับเจ้า”
ลมหายใจหลิงเจวี๋ยสะดุดไปครึ่งวินาที
เพราะอี้หาน…
ยกมือขึ้น
หยุดไม่ไกลจากหน้าอกเขา
ปลายนิ้วหยุดอยู่เหนือถุงมือสีดำ
“เพราะถ้าข้ากลายเป็นศัตรูของเจ้า…”
อี้หานก้มหน้าลงเล็กน้อย
เสียงเบาจนต้องตั้งใจฟัง
“ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีที่ให้หลบ…แม้แต่ในเงาของตัวเอง”
เงียบ
เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งคู่ปะปนกัน
หลิงเจวี๋ยไม่รู้ว่า—
ระหว่างคำขู่กับคำเตือน
สิ่งที่เขารู้สึกในอกตอนนี้
คือความหวาดหวั่น
หรือบางอย่างอันตรายยิ่งกว่า
อี้หานหันหลัง
เดินไปทางประตู
ก่อนออกไป เขาหยุด
“ข้า…จะรอเจ้าที่ศาลาด้านตะวันออกยามรุ่ง”
“รอข้าทำไม”
“เพราะมีบางอย่างที่เจ้าควรรู้ด้วยตนเอง”
อี้หานไม่หันกลับ
ปล่อยประตูเลื่อนปิดลงตามหลังอย่างเบา
แต่ทิ้งความสั่นไหวบางอย่างไว้ในอกของหลิงเจวี๋ย
ชายในเงามังกรกำมีดแน่น
แต่ครั้งแรก…ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะความกลัว
แต่เพราะบางอย่างที่อันตรายกว่า—
ความจริงที่ว่า
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าอีกฝ่าย
แต่เหมือนถูกดึงดูดเข้าหา
โดยไม่รู้ตัว
และนี่คือสิ่งที่ทำให้ภารกิจครั้งนี้
อาจเป็นสิ่งที่ทำลายเขาได้จริงอย่างที่กวงเหรินเตือน
หลิงเจวี๋ยก้าวออกจากห้อง
หัวใจเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะภารกิจ
แต่เพราะชายผู้ถือโคมเมื่อครู่…
ผู้ที่อาจเป็นทั้งภัยร้ายที่สุด
และแสงเดียวในเงาของเขา