“ขอรับนายหญิง”
หนิงชิงหงสังเกตทุกอย่างที่อยู่รอบตัวอย่างสนใจ เสียงดนตรีบรรเลงขับขานไพเราะบวกกับนางรำงดงามเช่นนี้ แน่นอนว่าบุรุษทุกโต๊ะต่างก็จดจ่อกับภาพตรงนั้น จะว่าไป...บุรุษตรงนี้ที่นางเห็นเป็นส่วนใหญ่ ล้วนแต่หน้าตาดีกันเกือบหมด และถ้าหากนางจำไม่ผิด ในสมัยอดีตไม่ว่าจะเป็นภพชาติใด เหล่าบุรุษและสตรีต่างก็แต่งงาน ออกเรือนกันไปตั้งแต่อายุยังน้อย นั่นหมายถึงกรณีที่นางอยู่ในสกุลของชนชั้นสูง มิใช่บุตรสาวของท่านแม่ผู้เป็นนายหญิงแห่งหอนางโลม ที่คาดว่าคงไม่มีบุรุษสกุลใดกล้ามาสู่ขอนาง “ท่านแม่เจ้าคะ”
หนิงเจี่ยเจียจิบชาหอมกรุ่นพร้อมกับผินใบหน้ามองบุตรสาว “ว่าอย่างไร”
“หากข้าอายุครบสิบห้าหนาว ข้าสมควรออกเรือนหรือข้าต้องทำงานเหมือนท่านแม่เจ้าคะ” คำถามกว้างๆ ของนางนั้นแปลได้หลายความหมาย ถ้าหากท่านแม่ของนางอยากให้อยู่ในนี้...นางก็อาจจะอยู่โดยไม่คิดอะไร แต่ถ้าหากเลี่ยงได้ ‘อืม นางอาจจะหางานอื่นทำ ซึ่งมันต้องเป็นงานที่นางชอบ’
ผู้ถูกถามเก็บความเสียใจเอาไว้ในอก จะกล่าวว่านางผิดที่เลี้ยงบุตรสาวให้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีก็อาจจะใช่ กี่ปีมาแล้วที่ชิงหงเห็นเรื่องงามหน้าจากเหล่าคณิกาในหอนางโลม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปิดเผยเนื้อตัวยั่วยวนบุรุษหรือแม้กระทั่งการดื่มสิ่งของมึนเมา ทุกอย่างที่เคยพบเห็นมาตั้งแต่เจ็ดหนาว...มันมาจากงานที่นางทำทั้งนั้น “ฟังแม่นะชิงเอ๋อ” รั้งร่างบุตรสาวเข้าสู่อ้อมกอด พร้อมกับเปิดเปลือยความรู้สึกทั้งหมดของตัวเอง “แม่ของเจ้าอาจจะมิใช่สตรีที่ดีนัก แม่ผิดที่เลี้ยงดูเจ้าอยู่ที่นี่เพราะแม่ไม่มีญาติที่ไหนดีพอที่จะฝากฝังตัวเจ้าให้พวกเขาดูแลได้ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็รักเจ้ามาก ในกาลข้างหน้าหากเจ้าถึงวัยที่สมควรออกเรือน และเจ้าพึงใจบุรุษใดหรือมีผู้ใดมาสู่ขอเจ้า แม่ล้วนให้สิทธิ์เจ้าเป็นฝ่ายเลือกชีวิตของเจ้าเองและแม่ผู้นี้จะเป็นผู้เฝ้ามองเจ้าอยู่เบื้องหลัง เจ้าปรึกษาแม่ได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของบุรุษหรือเรื่องในร่มผ้า”
คำตอบนั้นทำเอานางถึงกับยิ้ม ^^ “หมายถึงท่านแม่จะไม่บังคับข้าในทุกๆ เรื่องใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมใช่ ดีร้ายอย่างไรแล้วแต่เจ้าเลือก หากเจ้ามีความสุขแม่ย่อมยินดี หากเจ้ามีความทุกข์แม่พร้อมช่วยเหลือและอ้าแขนรอเจ้าอยู่ที่หอของเรา ถึงแม้แม่จะมิใช่เชื้อพระวงศ์สูงส่งแต่แม่ก็พอจะมีเส้นสายอยู่บ้างเจ้าอย่าได้กังวลไป” แน่นอนว่าเส้นสายที่นางบอกกับบุตรสาวก็หาใช่ใครที่ไหน แต่เป็นขุนนางตำแหน่งสูงส่งที่เกาะติดนางอยู่มาจนทุกวันนี้
“เช่นนั้น” หนิงชิงหงทำท่าคิด ก่อนจะตอบท่านแม่ไปว่า “หากลูกคิดอยากจะลงทุนเปิดร้านอะไรบางอย่างเป็นของตนเอง ท่านแม่ก็จะสนับสนุนด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ” เรื่องแต่งงานนั้นยังไกลตัว เพราะฉะนั้นหากนางไม่อยากรับแขกเหมือนนางโลม นางก็ควรหาอะไรทำไปก่อนและถ้าอยากลองชิมบุรุษหนุ่มผมยาว ค่อยขอท่านแม่ไปรับแขกก็ยังไม่สาย
“แม่ย่อมตามใจเจ้า อยากทำสิ่งใดให้มาบอกแม่ แม่จะช่วยเจ้าเรื่องเบี้ยหวัดเองอย่าได้กังวล”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ^^ ‘เข้าทางพอดีเลย’
สองแม่ลูกนั่งชมฉินอ้ายร่ายรำบทเพลงไพเราะควบคู่ไปกับสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการบริหารดูแลหอนางโลม ในคำถามของหนิงชิงหงนั้น ดูคล้ายสนใจวิธีการจัดการภายในมากกว่าการที่จะมองหาบุรุษที่ดีมาครองคู่ และแน่นอนว่ามารดาอย่างหนิงเจี่ยเจียก็ได้ให้คำตอบบุตรสาวในทุกคำถาม จนผ่านไปร่วมครึ่งชั่วยาม (1ชั่วโมง) อายี่ ผู้เป็นเสี่ยวเอ้อคนสนิทได้เดินมาแจ้งแก่นายหญิงของตนเกี่ยวกับเรื่องสำคัญของขุนนางยศสูงผู้นั้น แน่นอนว่านายหญิงแห่งหอนางโลมเจี่ยเจียต้องรีบออกไปต้อนรับอย่างเสียไม่ได้ หนิงชิงหงมองตามท่านแม่ของตนที่รีบเดินอ้อมไป หากเป็นนางคนเดิมคงมิได้ใส่ใจในเรื่องของท่านแม่ ยกเว้นยามนี้ที่อายุจริงๆ นั้นหาใช่เด็กสาวอายุสิบสี่หนาวแต่เป็นสตรีที่มีความนึกคิดในวัยยี่สิบเจ็ดปีมากกว่า เช่นนั้นทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวและใช้ชีวิตนับจากนี้ นางจึงต้องขวนขวายใคร่รู้ให้ได้มากที่สุด ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ‘เหมือนเรื่องขุนนางผู้นั้น’
ห้องส่วนตัวของนายหญิงแห่งหอนางโลม
“มาหาข้าเร่งด่วนเช่นนี้ ต้องมีอะไรแน่ๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ” หนิงเจี่ยเจียวัยสามสิบสองปีที่ยังสวยสดราวกับสตรีแรกรุ่นเดินนวยนาดไปนั่งลงบนตักแกร่งของขุนนางใหญ่วัยสี่สิบปีที่เลี้ยงดูนางมานานกว่าเจ็ดปีอย่างเป็นปกติ
มือหยาบกร้านของเถินอี้ฉวนโอบรัดเอวบางพร้อมกับสูดดมช่วงไหล่เปลือยเปล่า (ใส่เกาะอกสีแดง) ของหนิงเจี่ยเจียพลางถอนหายใจ ตลอดยี่สิบปีของการเป็นขุนนางฝ่ายเสนาบดีกรมธรรมการ (การทูต) ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะหนักใจได้เท่าครั้งนี้ สาเหตุเพราะพระราชโองการครั้งล่าสุดที่มีคำสั่งให้เขาเป็นตัวแทนของคณะทูตเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรียังต่างแคว้น หากการเดินทางและพำนักอยู่ที่นั่นไม่ยาวนานถึงสามปี ตัวเขาก็คงไม่หนักใจ “ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับบุตรสาวให้คิดน่ะ ยามนี้นางอยู่ในช่วงที่กำลังจะปักปิ่น ใจข้าอยากให้นางเข้ารับตำแหน่งพระชายาของรัชทายาท เฮ้อ!”
หนิงเจี่ยเจียผู้มิเคยสนใจเรื่องในราชสำนัก จึงเงียบเพื่อรอฟังความ จะกล่าวว่านางไม่เคยพบปะพูดคุยกับบุตรสาวของเถินอี้ฉวนเลยก็คงไม่ผิด ‘มันแน่ล่ะ ตัวนางและเขาอยู่ในสถานะที่มิอาจเปิดเผยตัวตน จะให้ไปทำความรู้จักมักคุ้นกับสกุลเถินย่อมเป็นไปไม่ได้’ “แล้วเหตุใดท่านมิไปทูลขอแก่ฝ่าบาทเล่าเจ้าคะ” ทุกครั้งที่เถินอี้ฉวนมาหานาง คนผู้นี้มักจะอวดอ้างให้ฟังว่าตนนั้นสนิทสนมกับฮ่องเต้มากเพียงใด ‘หากสนิทสนมกัน ใยจึงมิเสนอเรื่องนี้ไปเสีย’
“มิใช่ว่าจะมิเคยทูล ข้าเคยทูลขอไปแล้วแต่ฝ่าบาทยังคงเพิกเฉย จะให้ข้าเอ่ยคำเดิมซ้ำๆ หากพระองค์ทรงรำคาญ ข้าคงจะถูกมองว่าฝักใฝ่ในอำนาจน่ะสิ” ทำท่าคิด “หรือเรื่องนี้รัชทายาทจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เอาเถอะ ไว้ก่อนที่ข้าจะเดินทางไปต่างแคว้น ข้าจะลองถามฝ่าบาทดูอีกครั้ง เป็นชายาเอกไม่ได้ก็ให้เป็นชายารองข้าก็ไม่ขัด”
หนิงเจี่ยเจียกอดซบช่วงไหล่หนา หากนางฟังไม่ผิด เมื่อครู่นี้เถินอี้ฉวนกล่าวว่าเขาจะต้องเดินทางไปต่างแคว้น...แคว้นใด? “ท่านอี้ฉวน ท่านจะต้องเดินทางไปออกจากแคว้นโจวรึเจ้าคะ”
ฟอด! บุรุษมากวัยหอมแก้มสตรีบนตัก พร้อมกับตอบคำถาม “ใช่ มีราชโองการให้ข้าเป็นหัวหน้าคณะทูตเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีร่วมกับองค์หญิงโจวเซียนผิง องค์หญิงลำดับที่สี่ ส่วนระยะเวลาที่ต้องพำนักในแคว้นฮุ่ยเหรามีกำหนดถึงสามปี ข้าอยากพาเจ้าติดตามไปด้วย”
“...”