เวลาเดียวกันตรงหน้าร้านขายเครื่องประดับศีรษะที่อยู่ตรงกันข้ามกับประตูทางเข้าของหอนางโลม “นั่นรัชทายาท คู่หมั้นของคุณหนูมิใช่รึ?” สตรีผู้หนึ่งเปรยกับตัวเองเบาๆ
&&&&
จวนสกุลเถิน
“นี่มันวันปักปิ่นของข้า เหตุใดรัชทายาทผู้เป็นคู่หมั้นจึงไม่มาเจ้าคะท่านแม่” เถินเจาหยีร้องไห้ฟูมฟายตรงหน้าตักมารดา อาการเสียหน้าของคนทั้งตระกูลในวันนี้ หากไม่เรียกว่าน่าอับอายจะเรียกว่าอันใดได้อีก และทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงต้องโทษรัชทายาทผู้สูงส่งที่ละเลยแม้กระทั่งวันปักปิ่นของนาง ‘เจ็บใจ’ คำนี้มิได้ไม่เกินจริงเลย
“รัชทายาทคงมีกิจธุระกระมัง เจาหยีของแม่อย่าร้องไห้ไปเลย วันนี้พระองค์ไม่มา วันหน้าไม่พ้นต้องแต่งกันอยู่ดี อย่างไรก็ต้องได้เจอกัน” ตั้วฮูหยินลูบศีรษะปลอบบุตรสาวให้หายเคร้า ทั้งที่ความจริงแล้วตัวนางนั้นกังวลมากกว่าใครๆ ก่อนหน้านี้ที่มีงานหมั้นหมายในวังหลวง นางเห็นแล้วว่ารัชทายาทโจวเหวินหลงนั้นมิได้สนใจใยดีบุตรสาวของนางแม้เพียงนิดและจะให้หวังสิ่งใดนอกเหนือไปจากความต้องการในอำนาจที่สามีอยากได้ ‘รัชทายาทไม่คิดอะไร ต่างกับบุตรสาวของนางที่ตกหลุมรักอีกฝ่ายจนไม่คิดจะลืมตาอ้าปาก’ ยิ่งยามนี้สามีของนางเดินทางไปต่างแคว้นยิ่งแล้วใหญ่ ใครจะมองเห็นเงาหัวของนางบ้าง หวังให้คู่หมั้นของบุตรสาวมาดูแลรึ...นับจากวันหมั้น จนถึงวันนี้ สกุลเถินได้เปิดจวนต้อนรับรัชทายาทบ้างรึยัง?
“ฮึกๆ ฮือๆๆ” เถินเจาหยีร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ยามนี้พิธีปักปิ่นแบบเรียบง่ายจบลงไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว (หนึ่งชั่วโมง) ญาติสนิทในงานไม่ถึงสามสิบคนก็กลับไปจนหมด บ่าวไพร่เริ่มเก็บงาน ความหวังว่าพระคู่หมั้นจะมา...มันช่างริบหรี่เหลือเกิน จังหวะเสียใจ ในหูกลับได้ยินเสียงเรียกนามของนางดังมาจากหน้าจวน
“คุณหนู! คุณหนูเจ้าขา แฮ่กๆๆ” อาเจียง หนึ่งในสาวใช้ภายในจวนสกุลเถินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ในมือยังถือกล่องเครื่องประดับของฮูหยินใหญ่คาอยู่ แต่เจ้าตัวมิได้สนใจพร้อมกับรีบบอกถึงสิ่งที่ตนเห็น “บ่าว แฮ่กๆๆ บ่าวเห็นรัชทายาทเจ้าค่ะ”
ใบหน้านองน้ำตาของเจาหยีแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง พลางสอบถามสาวใช้เสียงดัง “เห็นที่ไหน!”
“แฮ่กๆๆ หอ หอนางโลมเจี่ยเจียเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” ในอกสตรีที่เพิ่งปักปิ่นหอบขึ้นลงขึ้นลงด้วยความโกรธ ความน้อยใจตีตื้นจนจุกกับความผิดหวัง ‘รักครั้งแรกของนางกับบุรุษสูงส่งนั้นล้มเหลว’ ฝ่ายบุรุษไม่มาร่วมงานสำคัญไม่พอ ยังกล้าไปเที่ยวหอนางโลมทั้งๆ ที่มีสตรีในวังถึงห้าคนและมีนางเป็นคู่หมั้นคนใหม่เพิ่มเป็นหก คำว่าไร้หัวใจคงน้อยเกินไปสำหรับรัชทายาท “มันจะมากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” มือบางกำหมัดแน่น ใจคิดว่าหากนางไม่ออกตัวว่านางคือคู่หมั้น สตรีอื่นคงคิดว่าพวกตนจะมีโอกาสได้ตบแต่งเข้าวังหลังกันแน่ๆ ‘นางยังไม่ได้แต่ง คงยอมไม่ได้!’ “ข้าจะไปตามหารัชทายาทที่นั่น อาเจียง นำทางข้าไป!” หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาออกไปอย่างลวกๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินนำสาวใช้ออกไปหน้าจวนเพื่อขึ้นรถม้า
ตั้วฮูหยินรีบเดินไปรั้งแขนของบุตรสาวเอาไว้ ก่อนที่นางจะทำเรื่องไม่ถูกไม่ควร แต่นอกจากเจาหยีจะไม่ฟังคำ อีกฝ่ายยังสะบัดมือมารดาแล้วรีบออกไปทันที “แย่แล้วเจ้าค่ะท่านพี่” นึกไปถึงสามีที่อยู่แสนไกล
รัชทายาทโจวเหวินหลงนั่งทานอาหารร่วมกับปู้ฉู่องครักษ์คนสนิทโดยแสร้งสร้างภาพว่าพวกเขาเป็นสหายกันเพื่อตบตาผู้อื่น บรรยากาศภายในร้านมีดนตรีแว่วหวานขับกล่อม แม้สองมือแกร่งจับตะเกียบแต่สายตากลับลอบมองหาบุรุษต้องสงสัยคนเดิมที่ปู้ฉู่เคยบอกว่า หากคนผู้นั้นมิใช่คนรักใหม่ก็อาจจะเป็นคนของเถินอี้ฉวนที่ส่งมาเฝ้าสังเกตการนายหญิงเจี่ยเจียพร้อมกับวางแผนใดอยู่ก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้ยังเห็นอยู่ว่าราชทูตเถินอี้ฉวนสนิทสนมกับราชทูตของแคว้นไท่เยี่ยที่ในอดีตแคว้นนี้เคยส่งกำลังทหารมาบุกรุกอาณาเขตรอบนอกของแคว้นโจว ดีเท่าใดที่ครานั้นมีแม่ทัพใหญ่เชียนตงหู่และรองแม่ทัพเฉินเจียงหม่าผู้มีฝีมือร่วมกันกำจัดทหารต่างแคว้นไปจนหมด สุดท้ายครานั้นฮ่องเต้แคว้นไท่เยี่ยจึงส่งองค์หญิงไท่ยี่เหลียนมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับฮ่องเต้แคว้นโจวหรือก็คือบิดาของเขา จนปัจจุบันนี้สตรีต่างแคว้นนั้นดำรงตำแหน่งเสียนเฟยแต่น่าเสียดายที่ทรงพระครรภ์ทั้งสองครั้งกลับได้เพียงบุตรสาว หากได้บุตรชายสักหนึ่งคนไม่พ้นให้รัชทายาทเช่นเขาต้องเฝ้าระวังหลัง ‘แต่ใช่ว่ามีบุตรสาวแล้ว เขาจะวางใจได้’ ระหว่างที่แสร้งดื่มด่ำกับเสียงพิณและทานอาหาร เสียงสตรีเล็กแหลมกลับตวาดแทรกตรงกลางโถง
“รัชทายาทโจวเหวินหลงอยู่ที่ใดเพคะ!”
ผู้คนในหอนางโลมเริ่มหันมองซ้ายขวา เพื่อหารัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ไม่พ้นสตรีบนเวทีเล็กต้องหยุดบรรเลงดนตรีพลางจับจ้องไปยังสตรีแรกรุ่นตรงปากทางเข้าของหอนางโลม ที่ดูท่าจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเป็นจุดสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถามถึงบุรุษสูงศักดิ์กับสตรีร่างเล็กที่นั่งต้อนรับลูกค้าอยู่ด้านหน้า
“เจ้า รัชทายาทอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เถินเจาหยียืนกอดอกถามสตรีร่างเล็กหน้าใสนาม หนิงชิงหง อดีตสตรีที่เคยร่ำเรียนในสำนักศึกษาพร้อมกันกับนาง แต่อีกฝ่ายกลับหายไปจากสำนักศึกษาเมื่ออายุได้เพียงสิบสามปี เดาได้ว่าเพราะความอับอายที่เป็นสตรีต่ำศักดิ์และไม่มีสหาย จึงเลิกเล่าเรียนไปทั้งอย่างนั้น ‘หึ จำได้ว่าสตรีสกุลหนิงผู้นี้อายุน้อยกว่านางเพียงสี่เดือน แต่การที่หนิงชิงหงมานั่งอยู่ที่นี่ไม่พ้นคงเป็นหนึ่งในสตรีขายเรือนร่างเป็นแน่’
หนิงชิงหงหรี่ตามองสตรีที่น่าจะมีอายุไม่ต่างจากนางมากนักในชุดสีแดง ใบหน้าแต่งแต้มสีสันจัดจ้าน ‘ไม่แน่ใจว่าเคยพบกันกับเจ้าของร่างเดิมหรือไม่ อาจจะเคยพบแต่คงไม่น่าจดจำ’ สภาพภายในหอนางโลมตรงกลางคือความเงียบและการมาตามหาบุรุษสูงศักดิ์ในสถานที่เช่นนี้นั้น จะกล่าวว่านางไม่รู้จักรัชทายาทก็คงใช่ แต่มีหรือที่นางจะบอกอีกฝ่ายว่าไม่รู้ ยิ่งมาก่อกวนหอนางโลมเช่นนี้ ไม่พ้นต้องสั่งให้ผู้ดูแล (บุรุษมากฝีมือหลายคนที่มารดาจ้างเอาไว้) หิ้วปีกออกไป “อยู่หรือไม่อยู่ หาใช่เรื่องที่ข้าจะบอกกับคุณหนูได้” ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินอ้อมไปประจันหน้า “และถ้าหากวันนี้คุณหนูมิได้ต้องการจะมาใช้บริการในหอนางโลมของเรา รบกวนหยุดกิริยาไร้ยางอายแล้วกลับไปก่อนเถอะ” ผายมือราวกับขับไล่กลายๆ ในฐานะบุตรสาวเจ้าของหอนางโลม