“อืม...ม”
“น้องเล็กฟื้นแล้วพวกเรา!”
เสียงดังเซ็งแซ่ด้านข้าง พาลพาให้สตรีร่างเล็กบนเตียงผินใบหน้าไปมองก่อนจะกะพริบตาปริบๆ แล้วหลับตาลงไปอีกครั้ง ในหัวสมองมึนงงจับต้นชนปลายถึงเหตุการณ์ที่ตนประสบไปก่อนหน้านี้ ‘ถูกคนร้ายกระชากกระเป๋าและถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงอิฐ!’ ถ้าหากยามนี้ยังมีชีวิตอยู่ เสียงด้านข้างที่ได้ยินเข้ามาในหูน่าจะเป็นเสียงของพยาบาลในชุดสีขาว ไม่ใช่เสียงของผู้หญิงแต่งหน้าแต่งตาเหมือนงิ้วพวกนี้สิ! ‘หรือว่านี่คือโรงพยาบาลบ้า’
“น้องเล็กชิงหง”
“...” ‘หืม น้องเล็ก?’
“ข้าว่านางยังคงมึนงงอยู่เป็นแน่” เจียวมี่หันไปเอ่ยกับถัวฮวาและฟู่เหยาที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันเมื่อครั้งก่อนหน้าตั้งแต่เมื่อคืนวาน เหตุการณ์ไม่คาดคิดที่น้องเล็กชิงหงลื่นหกล้มบนพื้นด้านหลังของหอนางโลม ในจังหวะล้มนั้น อีกฝ่ายคว้ากิ่งไม้ประดับมาได้แต่ก็ยังพลาดเซหงายหลัง ศีรษะไปกระแทกกับขอบอ่างเลี้ยงปลาที่ตั้งอยู่ตรงนั้น ผลสรุปอาการคือหมดสติไปมากกว่าสองชั่วยาม (สี่ชั่วโมง) ศีรษะแตกจนน่ากลัวดีเท่าใดที่อีกฝ่ายยังคงมีลมหายใจอยู่ มิเช่นนั้นยามนี้พวกนางคงต้องเรียกนักบวชมาทำพิธีปัดเป่าและสวดวิญญาณไปแล้วกระมัง
ถัวฮวาพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าว่าท่านหมอหญิงหรูปิงน่าจะมีน้ำใจรอดูอาการของน้องเล็กก่อนจะกลับนะ”
ฟู่เหยาครางในลำคอ “ฮึ เจ้าก็รู้นี่ว่าเราขายเรือนร่างอยู่ในหอนางโลมเจี่ยเจีย หมอหญิงผู้สูงส่งจะรออยู่แถวนี้ให้ตนเองรู้สึกอับอายไปทำไมเล่า”
“ข้าเบื่อจริงๆ กับพวกที่ชอบแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ขายเรือนร่างแลกเบี้ยหวัดเพื่อเลี้ยงชีพตนเองมีสิ่งใดให้น่าเหยียดหยามก็ไม่รู้ หากข้าไม่เห็นแก่นายหญิงเจี่ยเจีย ข้าคงบอกหมอหญิงไปแล้วว่าข้าเคยนอนกับสามีของนางไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง” เจียวมี่สั่นศีรษะอย่างเบื่อหน่าย พลางเขย่าแขนของน้องเล็กอย่างหนิงชิงหง “ชิงหง ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว ชิงหง” (เขย่าๆ)
ผู้ถูกเรียกซ้ำๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับประมวลผลในสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งภาพที่เห็นตรงหน้าก็ยังเป็นสามสตรีในชุดงิ้ว หาใช่กลุ่มพยาบาลอย่างที่ควรจะเป็น ‘แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ’ “...”
“ไหนบอกข้ามาสิว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรในตอนนี้” เจียวมี่ใช้หลังมืออังบนหน้าผากเล็กคล้ายกำลังวัดไข้ให้กับอีกฝ่าย นางถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไอร้อนจากร่างเล็กบนเตียงนั้นได้หายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบมากกว่าเดิมเท่านั้น
“มึนงง” นั่นคือสิ่งที่รู้สึก ก่อนจะรับรู้ถึงความทรงจำอะไรบางอย่างไหลวนเข้ามาในหัวสมอง ภาพของเด็กสาวหน้าตาน่ารักนาม ‘หนิงชิงหง’ กำลังยกกล่องอะไรบางอย่างเดินไปตามเส้นทางภายในหอนางโลมเจี่ยเจีย และหอนางโลมแห่งนี้เป็นของมารดาของนางเอง!เพราะฉะนั้นสตรีทั้งสามคนที่นั่งเฝ้านางอยู่ในห้องนี้ไม่พ้นจะเป็นนางโลมของที่นี่ ดวงตากลมโตหลุกหลิกสับสน ในความสับสนนั้นตัวนางค่อยๆ ยันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มร่นลงไปกองอยู่บนตัก จึงเห็นได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่สวมเสื้อคลุมสีขาวแขนยาว สายตากวาดมองภายในห้อง ช่างดูคล้ายจะเป็นเรือนไม้แบบโบราณ มีหน้าต่างสี่บานเปิดอ้าออกให้แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาได้ บรรยากาศสงบเงียบไร้เสียงรถรา ไร้เสียงโวยวายเหมือนที่ที่เคยอยู่ และมากกว่าความกลัว มันคือความกังวล อะไรคือการมานั่งอยู่ในสถานที่แปลกตา อะไรคือการที่หัวสมองเห็นภาพราวกับกำลังดูหนังชีวิต และถ้าหากว่านี่มิใช่ความฝัน เช่นนั้นก็ควรพิสูจน์? “ขอกระจก”
ถัวฮวาถอนหายใจ ก่อนจะปลอบอีกฝ่าย “ใบหน้าเจ้าไม่มีร่องรอยอันใด จะมีก็แต่ตรงศีรษะด้านบนที่มันแตก หมอหญิงใส่ยาและทำแผลให้เจ้าแล้ว ไม่กี่วันก็หาย ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปก่อนจะถึงวันเกิดเจ้าเถอะ” ส่งกระจกไปให้อีกฝ่าย
ทันทีที่เห็นใบหน้าของตนเองในกระจก ความทรงจำของ หนิงชิงหง กลับไหลเข้ามาได้หยุดอีกครั้ง ไม่ต้องถามว่าสตรีนางโลมสามคนที่อยู่ตรงนี้มีนามว่าอะไรบ้าง นั่นเพราะตัวนางตอบได้โดยไม่ผิดสักคนแน่ “นี่ฝันอยู่ใช่ไหม” สองตากลมมองสตรีที่มีนามว่า พี่ฟู่เหยา คล้ายกับกดดันให้อีกฝ่ายตอบคำถาม
ฟู่เหยายกมือขึ้นอังบนหน้าผากน้องเล็กหรือก็คือหนิงชิงหงผู้เป็นบุตรสาวของนายหญิงเจี่ยเจียทันที “ฝันอันใด นี่เลือดออกมากเกินไปรึเปล่าถึงได้พร่ำเพ้อเรื่อยเปื่อย” ผ้าสีขาวเป็นกระจุกอยู่บนศีรษะมีคราบเลือดแห้งกรังแน่นอนว่าสตรีน้อยผู้ถือกระจกอยู่ไม่พ้นต้องมองเห็นอยู่แล้ว “ตรงนี้ ยังเจ็บอยู่รึเปล่า” ชี้ตรงบาดแผล
ผู้ถูกถามเงียบขรึมไป ก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจกับสภาพของตัวเองที่ต้องมาอยู่ในร่างของคนอื่น...ในต่างภพ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ในตอนนี้มีเป็นความเจ็บนิดๆ ตรงศีรษะที่จำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมได้ลื่นล้มและหัวฟาดบ่อปลาจนสลบ ‘นี่ฉันย้อนยุคมาอยู่ในหอนางโลมจริงๆ ใช่ไหม?’ “พี่บอกว่าใกล้จะถึงวันเกิด ข้าจะครบรอบกี่ปี สิบห้ารึเปล่า”
“ใช่ เจ้ากำลังจะครบสิบห้าหนาวในอีกหกเดือนข้างหน้า”
“ไม่ตาย แต่ฟาดเคราะห์ไกลไปหน่อยนะ” รัญดาผู้ย้อนยุคมาอยู่ในร่างสาวน้อยวัยสิบสี่ย่างสิบห้าหนาวอย่างหนิงชิงหงเปรยเบาๆ แม้อยากจะถอนหายใจหนักๆ กับโชคชะตาอันแสนประหลาดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้สักเท่าไหร่ สุดท้ายผู้ที่เคยใช้ชีวิตไปก่อนแล้วถึงยี่สิบเจ็ดปีก็ได้แต่ทำใจ วันนั้นทั้งวันนอกจากจะไล่สตรีนางโลมทั้งหลายที่มีนามว่าเจียวมี่ ถัวฮวา และฟู่เหยาออกไปจากห้องแล้ว นางก็เริ่มเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนของตนเอง ในห้องนอนนี้มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางพอประมาณ นอกจากหนึ่งเตียงนอนไม้ชั้นดีติดกับผนังห้อง ยังมีตู้ไม้เอาไว้ใส่เสื้อผ้าหลากสีสันให้อีกสองตู้ตองปลายเตียง มีโต๊ะเครื่องแป้งตรงริมหน้าต่าง ขนาดกับหัวเตียง มีโต๊ะน้ำชาติดกับประตูห้อง ซึ่งถัดจากโต๊ะน้ำชานั้นยังมีประตูอีกหนึ่งบานและนางก็ไม่รอให้ความสงสัยติดอยู่ในสมองนานนัก เพราะมันบ่งบอกว่านั่นคือห้องอาบน้ำ ทุกสิ่งอย่างที่เจอในตอนนี้มันดีเหนือความคาดหมาย จำได้ว่านางเป็นบุตรสาวของเจ้าของหอนางโลมแห่งนี้...มารดาของนางมีนามว่า หนิงเจี่ยเจียหรือสตรีที่นางโลมคนอื่นเรียกว่านายหญิง ^^