“บ้านของฉวนเฉา นายทหารประจำการในกองทัพหลวง ลุงจำได้ว่าคนผู้นั้นเคยมาถามขายที่ดินผืนนี้ให้มารดาเจ้าเพราะย้ายเข้าไปอยู่บ้านภรรยานานๆ ครั้งจึงจะกลับมาดูแลพื้นที่ หากไม่ติดว่ามารดาเจ้าต้องการพื้นที่เพิ่ม ก็คงซื้อที่ตรงนี้ไปแล้วกระมัง” ‘โม่สุ่น’ ชายชราผู้ทำหน้าที่พ่อบ้านของหนิงเจี่ยเจียลูบเคราขาวตอบคำถามคุณหนูของตนที่นั่งทำหน้าที่แทนนายหญิงในวันนี้อย่างไม่ปิดบัง
“อันที่จริงหอนางโลมของเราก็มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ อืม” ทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก ‘เอาไว้คืนนี้นางค่อยถามมารดาเรื่องที่ดินผืนนี้ดีกว่า “ท่านลุงโม่”
“ว่าอย่างไร”
“ข้าอยากจะถามเรื่องของขุนนางผู้นั้น ทั้งสองคนชอบพอกันใช่หรือไม่เจ้าคะ” ในคำถามนั้น ไม่มีการถามหาบุรุษผู้เป็นบิดา นั่นเพราะนางไม่เห็นและไม่มีอีกฝ่ายในสำนึก ก็แสดงได้ว่ามารดาของนางเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งในวันนี้ มีขุนนางผู้หนึ่งแวะมา...
พ่อบ้านประจำเรือนพักด้านหลังแถมอีกหนึ่งหน้าที่คือดูแลหอนางโลมด้านหน้าร่วมกับนายหญิงเจี่ยเจียทำท่าครุ่นคิดถึงความรู้สึกของนายหญิงกับตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งหมดแล้วเกือบเจ็ดปี ก่อนจะตอบไปตามที่เห็น “ชอบหรือไม่ ลุงไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามว่ามีผลประโยชน์หรือไม่ ก็ย่อมมีมากด้วยเช่นกัน”
“ขุนนางสกุลใดรึเจ้าคะ” หนิงชิงหงกระซิบถามเสียงเบา คำว่าเจ็ดปีที่ขุนนางผู้นี้ดูแลเรื่องเบี้ยหวัดให้กับมารดาของนางโดยที่เจ้าของร่างคนเดิมไม่เคยรู้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ กล่าวว่ามันเป็นความลับ...ก็คงจะลับมาก จนถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายมีทางเข้าลับด้านข้างเป็นของตนเอง
พ่อบ้านโม่ส่ายหน้า “ลุงไม่รู้และลุงก็อยากจะบอกกับเจ้าว่าอย่าได้พยายามที่จะสอบถาม หากมารดาของเจ้าไม่บอกก็อย่าได้ถาม”
‘เป็นเช่นนั้นหรอกรึ’ “เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ถาม” หากการที่นางรับรู้เรื่องนี้จะทำให้นางได้รับอันตราย นางก็ควรจะหลีกเลี่ยงไปเสียเพราะถึงอย่างไรยามนี้มันยังคงเป็นความลับ ความเงียบเข้ามาปกคลุมได้ไม่นานก็มีลูกค้าเดินเข้ามา “รับจองนางโลมนะเจ้าคะ” เผยรอยยิ้มหวานละมุนให้กับบุรุษรูปงามสองคนที่เดินเข้ามาใหม่ และแทนที่ทั้งสองคนตรงหน้าจะตอบคำถามหรือจองตัวนางโลม บุรุษร่างใหญ่หน้าตาหล่อเหลาราวกับคุณชายเจ้าสำราญกลับย้อนถามนาง
“หากอยากจองตัวเจ้าต้องใช้เบี้ยหวัดเท่าใด” ^^
‘หืม?’ หนิงชิงหงถึงกับแปลกใจ ที่อีกฝ่ายถามออกมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเขาคือลูกค้าคนใหม่ที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวนางเป็นบุตรสาวของเจ้าขอนางโลมและแน่นอนว่านางก็ไม่คิดจะปิดบัง “ข้าเป็นบุตรสาวของท่านแม่หนิงเจี่ยเจีย อายุเพียงสิบสี่ย่างสิบห้าหนาว หากคุณชายอยากจองตัวข้าคงต้องรอไปอีกเกือบครึ่งปี แน่นอนว่าข้าอาจจะเปิดประมูลพรหมจรรย์ของตัวเองในราคาที่สูงลิบลิ่ว” แสร้งทำท่าคิดและจ้องตาอีกฝ่าย “แต่ก็ไม่แน่ว่าข้าอาจจะทำหรือไม่ทำอาชีพนางโลมนะเจ้าคะ สรุปคือท่านต้องไปวัดดวงเอาภายหน้า หากท่านไม่ลืมข้าไปเสียก่อนก็ค่อยมาถามใหม่อีกที”
คนฟังยกยิ้มตรงมุมปากอย่างชอบใจกับคำท้าทายอันแสนน่ารักนั้น สตรีตรงหน้าตัวเล็กกะทัดรัดน่าทะนุถนอม ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราหลอกล่อสายตาบุรุษได้ดี ยิ่งการพูดการจาของนางกับน้ำเสียงแว่วหวานก็ยิ่งอยากจะเข้าร่วมประมูลพรหมจรรย์ของนางเสียเดี๋ยวนั้น หากไม่ติดว่าต้องรอเวลา แน่นอนว่าตัวเขาก็คงเทหมดหน้าตักเพื่อเชยชม “เช่นนั้นข้าคงต้องบอกเจ้าเอาไว้ก่อนว่าตลอดเวลาครึ่งปีที่เหลืออยู่ของเจ้า จงดูแลตัวเองดีๆ เพื่อรอข้าก็แล้วกัน หนิงชิงหง” ^^
เจ้าของนามเม้มปากอย่างสับสนปนขัดใจที่อีกฝ่ายรู้จักนามของนาง ก่อนจะมองตามสองบุรุษที่เดินหายเข้าไปด้านใน ส่วนของร้านอาหารตรงโถงกลางและเท่าที่เห็น พวกเขาไม่แม้แต่จะเรียกหาสตรีนางโลมให้มาปรนนิบัติ ‘เชื่อเถอะ ถ้าหากนางยังอยู่ในยุคเดิมที่จากมา บุรุษปากแจ๋วเมื่อครู่นี้คงถูกนางหิ้วขึ้นห้องไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย’ “คุณชายผู้นี้อยู่ในสกุลใดรึเจ้าคะท่านลุงโม่”
พ่อบ้านโม่ยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ทราบขอรับคุณหนู”
‘เฮ้อ...พ่อบ้านของมารดานี่ก็ช่างไม่รู้จักผู้ใดเสียเลยจริงๆ’
โถงกลางรองรับลูกค้าในส่วนของร้านอาหาร
“ยิ้มไม่หุบนี่หมายถึงถูกใจใช่หรือไม่ขอรับ”
^^ โจวเหวินหลงยิ้มในหน้าให้กับสหายอย่างหวังเฟยหรงที่อุตส่าห์เสียสละเวลาปลอมตัวเข้ามาเที่ยวในหอนางโลมกับเขา แล้วตอบคำถามอย่างใจเย็น “ย่อมใช่แต่นางยังเยาว์ ข้ากำลังคิดว่าจะล่อลวงนางอย่างไรก่อนดี” ในสำนึกยังคงจดจำใบหน้าสะกดใจนั้นพลันคิดถึงการประมูลในอีกครึ่งปีที่นางเอ่ยขึ้นราวกับตนเป็นสตรีช่ำชองในบทรักก็ไม่ปาน “หากอีกหกเดือนถัดไปนี้ข้าได้นาง”
“นางเป็นบุตรสาวของเจ้าของหอนางโลมนะขอรับ”
‘บุตรสาวของนางโลม’ หากสถานะคือตัวบ่งชี้ถึงความเหมาะสม ตัวเขาจะสามารถกักเก็บหนิงชิงหงไว้ในตำแหน่งใดได้ “ข้ารู้ แต่มิใช่เรื่องที่ต้องกังวล” สอดส่องมองหาต้นตอที่ทำให้รัชทายาทเช่นเขาต้องเดินเข้ามาในหอนางโลมด้วยตนเอง แต่ก็หาไม่พบ จนเสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาสอบถามรายการอาหาร และเป็นสหายของเขาที่จัดการไปตามสมควรโดยไม่ลืมที่จะถามถึงฉินอ้าย สตรีนางโลมอันดับหนึ่งที่ถูกราชเลขาคนใหม่ของฮ่องเต้ซื้อตัวออกไปแล้ว การสอบถามแบบไม่เจาะจงถือว่าได้เบาะแสของคนร้ายในคดีวางยาคุณหนูสกุลเฉิน แต่ไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับขุนนางที่ลักลอบมาพบกับนายหญิงของหอนางโลมแห่งนี้เลย “ก่อนที่คนผู้นั้นจะออกไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างแคว้น ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเขามีการวางแผนอย่างอื่นนอกเหนือจากการส่งบุตรสาวเข้าวังหลังของข้าอีกหรือเปล่า อันที่จริงข้ายอมรับว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่ดี แต่ความทะเยอทะยานนี่สิ” สั่นศีรษะคล้ายระอากับการกระทำโจ่งแจ้งไร้ยางอาย ‘กล้าขอสมรสพระราชทานทดแทนกับการที่ตนเองต้องไปเป็นราชทูต’
“ข้าว่ามันเป็นเรื่องปกติของขุนนางนะขอรับ และข้าก็คิดว่าท่านเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันคืออำนาจภายในราชสำนัก มิเช่นนั้นฝ่าบาทคงไม่มีสนมนางในอยู่เต็มวังหลัง” นึกไปถึงสตรีของรัชทายาทตรงหน้าที่มีเพียงห้านาง หากไม่ถูกบังคับให้ร่วมหลับนอนกับนางใดนางหนึ่งในทุกๆ สามวันรัชทายาทโจวเหวินหลงก็คงไม่เข้าหาสตรีใดเลย ถามว่าพระองค์เป็นต้วนซิ่วรึ...ก็มิใช่ อารมณ์กำหนัดของบุรุษเพศก็ย่อมมี