พรหมจรรย์นี้ขายเท่าไหร่ 2

1330 Words
“ก็รู้ เอาเถอะ ช่างเรื่องพวกนั้นก่อน ตอนนี้ข้าว่าเรามารับสำรับและทำงานกันดีกว่า” นั่งจิบชาเมียงมองสตรีนางโลมที่ส่งสายตาหวานหยดมาให้ โดยที่ส่งยิ้มตอบไปเพียงน้อยนิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงลอบหันไปมองหาหนิงชิงหงอยู่เรื่อยๆ ‘สตรีร่างเล็ก แต่ส่วนอื่นไม่เล็กนี่มันน่าใคร่จริงๆ’ ^^ &&&& “ท่านแม่เจ้าขา ลูกอยากซื้อที่ดินด้านข้างนี้เจ้าค่ะ ลูกอยากเปิดร้าน” หนิงเจี่ยเจียคีบเนื้อตุ๋นค้างไว้พลางมองบุตรสาวคล้ายกับว่านางนั้นฟังผิด ‘เปิดร้าน?’ ในความหมายของนางคือการเปิดร้านอันใดจึงจะอยู่ได้และขายดี ในเมื่อมีหอนางโลมอยู่ติดกัน หากไม่นับร้านค้าริมทางติดถนน นางก็จำได้ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของสกุลเฉา การซื้อขายไม่ได้ยากเท่ากับการคิดว่าบุตรสาวของนางจะค้าขายสิ่งใด “เจ้าจะเปิดร้านอะไร” ^^ หนิงชิงหงยิ้มให้กับมารดา “อาจจะไม่เรียกว่าเปิดร้าน แต่น่าจะเรียกว่าเปิดหอนายโลมเจ้าค่ะ” “หา!” ยกมือขึ้นทาบอก ทั่วแผ่นดินนี้ที่นางเคยเดินทางท่องไป ไม่เคยมีสักแคว้นที่จะได้ยินว่ามีหอนายโลม หรือถ้ามี ‘สตรีใดจะกล้าเข้า!’ “แม่ฟังผิดใช่หรือไม่” “ไม่เจ้าค่ะ ลูกจะเปิดหอนายโลมจริงๆ ท่านแม่อย่าได้กังวลถึงลูกค้านะเจ้าคะ หอนายโลมของลูกย่อมมีความพิเศษ แน่นอนว่าสาวแก่แม่ม่ายที่ไร้สามีย่อมสนใจใคร่รู้ หากสตรีใดไม่อยากร่วมหอร่วมห้องก็รับเพียงบุรุษนั่งคุยให้คำปรึกษา นายโลมของลูกก็ทำงานได้ไม่ต่างกับนางโลมของท่านแม่นะเจ้าคะ” ‘แน่นอนว่านางจะเฟ้นหาบุรุษที่ใช้การได้ทั้งรุกและรับเลยทีเดียว’ จับมือมารดาพร้อมส่งแววตาออดอ้อน“นะเจ้าคะ ท่านแม่ออกทุนให้ลูกก่อนแล้วลูกจะใช้คืนในภายหลัง” “เรื่องเบี้ยหวัดน่ะ แม่ไม่ได้กังวล ที่คิดกังวลคงจะเป็นเรื่องคำครหาของผู้คนมากกว่า เจ้าจะรับไหวหรือ” ด้วยความที่บุตรสาวยังคงมีอายุเพียงสิบสี่หนาว ความรู้สึกนึกคิดยังคงไม่แกร่งกล้าพอจะต่อกรกับผู้คนหลายวัย เช่นนั้นแล้วนางจะอยากให้หนิงชิงหงลองเสี่ยงอยู่อีกหรือ ในอดีตเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ที่ตัวนางอุ้มบุตรสาวเดินทางข้ามแคว้นเข้ามายังแคว้นโจว ตัวนางถูกเล่าลือว่าอย่างไร...ยังจำได้ไม่รู้ลืม ^^ ‘จิ๊บๆ’ “ท่านแม่อย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ คำครหาหลังจากนี้มิได้ทำให้ลูกร่ำรวย ใยลูกต้องสนใจและใส่ใจเล่าเจ้าคะ อีกอย่างคือหอนายโลมที่ลูกคิดจะเปิด ลูกก็มิได้มีแผนว่าจะไปบังคับบุรุษใดมาทำงานด้วยเสียหน่อย” หนิงชิงหงนั่งลุ้นท่าทีของมารดา จนเห็นท่านพยักหน้าตกลง ก่อนจะรีบบอกพ่อบ้านโม่ให้ออกไปติดต่อเจ้าของที่ดินในเย็นวันนั้นและกลับมาพร้อมข่าวดี หนึ่งเดือนต่อมา ในท้องพระโรงที่ยามนี้เหล่าขุนนางนับสิบที่ต้องเดินทางไปต่างแคว้นกำลังรอรับพรจากฮ่องเต้โจวเหวินซวนอยู่ตรงด้านหน้าพระที่นั่ง หนึ่งในนั้นมีเถินอี้ฉวน ทำหน้าที่เป็นผู้นำขบวนของราชทูตนั่งอยู่ด้านหน้าสุดด้วยสีหน้าเป็นกังวล คำอวยพรของฝ่าบาทเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ก่อนจะเสร็จพิธีร่ำลา เขาจึงตัดสินใจสอบถามถึงเรื่องสำคัญที่เขาเคยขอออกไป นั่นคือเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างบุตรสาวของเขากับรัชทายาทโจวเหวินหลง! “กระหม่อมยังคงกังวลแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวพะยะค่ะ” ฮ่องเต้โจวเหวินซวนยังคงยิ้มและกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องขอสมรสให้บุตรสาวของเจ้า เรายังมิได้ออกราชโองการ เพราะบุตรสาวของเจ้ายังไม่ถึงวันปักปิ่น แต่เจ้าอย่าได้กังวลไป เราจะจัดพิธีหมั้นหมายเอาไว้ก่อน ดีหรือไม่” ^^ รัชทายาทโจวเหวินหลงตีสีหน้านิ่ง มองไปยังเถินอี้ฉวนอย่างจับสังเกต ความร้อนรนที่อีกฝ่ายแสดงออกมาว่าต้องการเขาเป็นลูกเขยนั้นมันช่างน่ารังเกียจจนสุดใจ หากหน้าที่การรวมอำนาจของขุนนางคือการแต่งงานกับบุตรสาวของพวกเขาจริง เช่นนั้นแล้ว เถินอี้ฉวนคงกลัวว่าสกุลของตนจะไร้อำนาจเมื่อไม่มีอีกฝ่ายอยู่ในแคว้นโจว ยามเดินทางกลับมาเมื่อหมดวาระประจำการในแคว้นฮุ่ยเหรา ตัวเขาคงไม่มีพรรคพวก ไม่มีอำนาจใดหลงเหลือ ยกเว้นเสียแต่ว่าบุตรสาวจะดึงอำนาจนั้นเอาไว้ในฐานะพระชายา “หึ” “ฤกษ์ยามหมั้นหมายนั้น เราจะหาฤกษ์ที่ดีที่สุดให้ เจ้าเองก็เดินทางให้สบายอย่าได้กังวล” โจวเหวินซวนเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะลุกออกจากแท่นพิธีไป เหล่าขุนนางลุกขึ้นถวายบังคมกันโดยพร้อมเพรียงก่อนจะทยอยเดินออกจากท้องพระโรงเพื่อเดินไปส่งคณะราชทูตขึ้นรถม้า ผู้ที่เดินรั้งท้ายยังคงเป็นเถินอี้ฉวน เฝ้ามองรัชทายาทรูปงามวัยยี่สิบสามชันษาที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าตนเลยทั้งๆ ที่ตนนั้นกำลังจะได้เป็นพ่อตาในกาลหน้า จวบจนกลุ่มขณะราชทูตเรียกหาตัวเขา จึงตัดสินใจเดินออกไป &&&& “เรื่องอำนาจนี่มันมิเข้าใครออกใครเลยจริงๆ แทนที่จะออกตัวว่าจะดูแลน้องสี่ให้ดี เสด็จพ่อก็คงจะเร่งงานมงคลให้ มิใช่ทวงถามจนน่าเกลียด หมั้นงั้นรึ หึ” รัชทายาทโจวเหวินหลงเอ่ยคำอย่างไม่ใส่กับขันทีหวนเกอและปู้ฉู่องครักษ์คนสนิท ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทรงงานของบิดา ‘ทรงงานก็คือทำงาน...ไม่ต่างกับการหมั้นหมาย ซึ่งมันก็คือการทำงานเช่นกัน แม้ใจอยากจะปฏิเสธแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำได้เพราะคำว่าหน้าที่ เว้นเสียแต่ว่าฝ่ายสตรีจะไม่มีคุณสมบัติมากพอให้เข้ามาเป็นสตรีของเขา’ “หากเจ้าเป็นสตรี เจ้าจะหมายปองข้าเพราะนิสัย หน้าตาหรือฐานันดรศักดิ์” ปู้ฉู่เหลือบมองรัชทายาทรูปงาม ก่อนจะตอบคำถามไปตามจริง “หากกระหม่อมเป็นสตรีทั่วไปก็อาจจะมองที่รูปร่างหน้าตา หรือถ้าใฝ่สูงเสียหน่อยก็อาจจะมองข้ามหน้าตาแล้วพยายามเข้าหาพระองค์ที่เป็นถึงรัชทายาทพะยะค่ะ” ถึงแม้เดิมที ไม่ว่ารัชทายาทจะเดินไปที่ใดก็มักจะมีสตรีทอดสายตาให้ก็ตาม แต่นอกจากพระองค์จะแสร้งทำเป็นบุรุษเจ้าสำราญแล้วยิ้มส่งไปทั่ว ก่อนจะแสร้งหลีกหนีสตรีเหล่านั้นร่วมด้วยอย่างมีมารยาท “ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดสินะ” โจวเหวินหลงมองประตูห้องทรงงานของบิดา ก่อนจะเดินเข้าไปในนั้นเพื่อศึกษาวิธีการปกครองบ้านเมือง ใจหวังว่าบิดาจะไม่เอ่ยถึงเรื่องงานหมั้นหมายกับสตรีสกุลเถินให้เขาต้องหัวเสีย แค่สตรีรอตำแหน่งชายาในวังหลังมีมาแล้วห้านาง แต่ละนางต่างเฝ้าหวังการมีบุตรคนแรกให้กับเขาเพื่อความรุ่งเรืองในกาลหน้า สำคัญคือเขายังไม่รู้สึกรักใคร่พวกนางมากไปกว่าการเป็นแค่สตรีคลายกำหนัด เช่นนั้นแล้วการมีบุตรคงต้องปัดตกไปก่อน หากถามว่าเขาชิงชังสตรีสกุลเถินหรือไม่ ก็คงตอบได้ว่าไม่ เขาแค่ชังบิดาของนางมากกว่า ‘มีอย่างที่ไหน บุตรสาวยังไม่พ้นวันปักปิ่นกลับเร่งขอสมรสพระราชทาน เปิดเผยความทะเยอทะยานของตนเองจนวินาทีสุดท้าย เป็นครั้งแรกที่เขาเจอขุนนางเช่นนี้’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD