รัชทายาทรูปงามทำหน้าไม่เข้าใจในคำพูดของสตรีรุ่นเยาว์ พลางย้อนถามอีกครั้งว่า “ได้ทิปรึ เป็นอย่างไร”
“เอ่อ ก็” เกาศีรษะตนเองพร้อมกับเรียบเรียงคำพูดในหัวเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม ในขณะที่เห็นว่าบุรุษตรงหน้ามองผ่านนางไปทางด้านหลังบ่อยๆ จึงมองตามสายตานั้นไปพบกับอีกหนึ่งบุรุษรูปร่างกำยำ ใบหน้าดุดัน ซึ่งนางจำได้ว่านั่นคือสหายของพี่ตงฟาง “นั่นสหายของพี่ใช่หรือไม่ เขาไม่สนใจสมัครงานกับท่านรึ”
“ไม่รู้สิ เอาเป็นว่าหากข้าสมัครงานกับเจ้าแล้วก็สามารถเข้าออกที่นี่และหอนางโลมเจี่ยเจียได้ใช่หรือไม่” สัญญาณที่ปู้ฉู่ส่งมาเมื่อครู่ นั่นคือเรื่องของบุรุษชุดดำผู้เป็นลูกน้องของเถินอี้ฉวนได้เข้าไปนั่งรับสำรับในหอนางโลมอีกแล้ว การสังเกตคนของราชทูตที่ไปยังต่างแคว้นคือเรื่องจำเป็นพอๆ กับเรื่องที่ว่า หากเถินอี้ฉวนผู้นั้นรู้ข่าวเรื่องการถูกกักบริเวณของบุตรสาวของตน ก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะกระทำการใดต่อไปอีกบ้าง ‘หากจะให้เขาเดา ก็คงจะเร่งให้มีการสมรสเกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งเขาไม่ได้ชอบการกระทำเช่นนี้!’
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ^^ ยิ้มหวาน “สรุปว่าเป็นอันตกลงเนอะ อีกห้าวันหลังจากนี้ ท่านก็เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตรวจร่างกาย” ผงกหัวให้อีกฝ่ายที่คล้ายกับกำลังประมวลผลในสมอง “แล้วพบกันเจ้าค่ะพี่ตงฟาง”
รัชทายาทโจวเหวินหลงถอนหายใจคล้ายไม่อยากต่อคำ ‘ตงฟางก็ตงฟาง’ “อืม แล้วพบกัน”
&&&&
ก่อนการตรวจร่างกายบุรุษจะมาถึงในอีกสามวัน หนิงชิงหงเดินสำรวจหอนายโลมทั้งสามชั้นของตนอย่างพึงพอใจ สภาพของชั้นล่างเป็นร้านอาหารแบบเปิดโล่ง หน้าต่างรอบด้านเปิดออกให้ได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีจากหอนางโลมที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันและถ้าหากนางจะยืมตัวนางโลมที่บรรเลงดนตรีให้มาขึ้นเวทีในหอนายโลมของนางบ้าง “อืม...ท่านแม่จะว่าอย่างไรนะ ไม่ได้สิ พวกพี่นางโลมต่างก็ต้องเรียกลูกค้าของตนเองด้วย เช่นนั้นข้าควรเปิดรับสมัครนักดนตรีเข้ามาด้วยดีหรือไม่ พวกพี่คิดเห็นอย่างไรพี่เม่ยเม่ย พี่ซวงถิง” ถามสาวใช้ของตนเอง
เม่ยเม่ยผู้ทำงานกับคุณหนูชิงหงมาร่วมสองสัปดาห์พยักหน้าเห็นด้วยกับทุกความคิดที่ดูสูงวัยเกินตัวนั้นทันที “ดีเจ้าค่ะคุณหนู”
“พี่ก็ว่าดีเจ้าค่ะ คุณหนูเปิดหอเริงรมย์เหมือนนายหญิงก็จริง แต่ก็ควรมีอะไรเป็นของตนเอง หากวันนี้หยิบยืมนางโลมมาเล่นดนตรี วันหน้าไม่พ้นต้องขอยืมเรื่อยๆ และหากคุณหนูไม่ว่าอะไรพี่ขอแนะนำนักดนตรีไร้ญาติที่นั่งบรรเลงบทเพลงแลกเบี้ยหวัดประทังชีวิตตรงหน้าถนนผู้นั้นเจ้าค่ะ” ซวงถิงเสนอหนึ่งทางเลือกให้คุณหนูของตนเพราะเห็นว่าบุรุษยากจนผู้นั้นน่าสงสาร อีกทั้งการบรรเลงดนตรีของอีกฝ่ายก็ถือว่าน่าฟัง ติดแค่เพียงคนผู้นั้นเนื้อตัวสกปรก ผู้คนเดินผ่านไปมาจึงไม่ค่อยสนใจ นานๆ ครั้งนางเองยังเคยมอบเบี้ยหวัดเพื่อยังชีพให้ ในขณะที่นางเองก็มิใช่คนร่ำรวยจึงช่วยได้เท่าที่ไหวเท่านั้น
หนิงชิงหงคิดถึงสภาพของนักดนตรีที่พี่ซวงถิงบอก นักดนตรียากไร้ นั่งบรรเลงเพลงแลกเงิน? จะเป็นยากจกหรือขอทาน ตัวนางย่อมไม่เกี่ยงในเมื่ออีกฝ่ายบรรเลงเพลงได้...หรือถ้าร้องได้ด้วยก็ยิ่งดี! “พี่พาข้าไปดูหน่อยสิ”
สามสตรีสามวัยเดินตามกันออกไปจากหอนายโลมมุ่งหน้าสู่เส้นทางท่ามกลางร้านค้าเพื่อตามหานักดนตรีผู้นั้น จวบจนเดินผ่านย่านชุมชนไปถึงจุดหมายจึงพบเข้ากับบุรุษผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวมอมแมมนั่งดีดกู่เจิงเก่าๆ เป็นทำนองไพเราะ ช่างน่าแปลกที่แม้ว่าเสียงดนตรีนี้จะดังกังวานแค่ไหน แต่กลับไม่มีใครหันมองบุรุษผู้น่าสงสารผู้นี้เลยสักคน
หนิงชิงหงไม่รอให้นักดนตรีแสนพิเศษนี้ได้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ นางเดินเข้าหาอีกฝ่ายก่อนจะนั่งยองๆ ลงตรงกันข้าม เสียงเพลงไพเราะหยุดลงพร้อมๆ กับที่นางถามอีกฝ่ายว่า “ท่านสนใจจะไปเป็นนักดนตรีที่หอนายโลมของข้าหรือไม่เจ้าคะ ท่านอาผู้บรรเลงเพลงสุดไพเราะ” ^^ คำพูดน่าฟังกับรอยยิ้มหวานในทางธุรกิจถูกส่งไปให้บุรุษยากไร้แต่อายุมากกว่าอย่างเป็นกันเอง ในขณะเดียวกันภายใต้ทรงผมปกปิดใบหน้าของอีกฝ่าย นางยังแอบเห็นแววตาดำขลับคู่นั้นไหวระริกก่อนจะหลุบลงไปพร้อมกับความเงียบ แต่นั่นมิใช่เรื่องที่จะทำให้นางย่อท้อ ในเมื่อความจนกับความสกปรกของคนตรงหน้า นางเชื่อว่าเจ้าตัวคงตอบตกลงไปทำงานกับนางเป็นแน่ ‘มีใครบ้างไม่อยากสุขสบาย มีใครบ้างอยากมานั่งร้องเพลงให้ผู้อื่นฟังฟรีๆ โดยไม่หวังค่าตอบแทน’ “ข้ามีที่อยู่ ที่กิน มีเสื้อผ้าสะอาดๆ ให้ท่านได้เปลี่ยนทุกวัน” ^^ “สนใจหรือไม่เจ้าคะ” ถามย้ำอีกครั้ง
บุรุษวัยกลางคนเนื้อตัวมอมแมมจำเป็นต้องพยักหน้ารับ เพราะเขาเองก็เหนื่อยมามากพอแล้วกับการนั่งขอทานที่บางวันแทบจะไม่ได้เบี้ยเลยสักอัฐ การหาเช้ากินค่ำเหมือนแรงงานทั่วไป ใช้ไม่ได้กับเขาที่ร่างกายไม่คุ้นเคย “ข้า สนใจขอรับ”
“เช่นนั้นแล้วท่านเดินตามข้ากลับหอนายโลมเถิด อ้อ! ข้าลืมไป ท่านมีบ้าน มีฮูหยินและมีบุตรหรือไม่เจ้าคะ” หนิงชิงหงที่เพิ่งคิดได้ รีบสอบถามก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินตามนางกลับ ใดใดคือหากนักบรรเลงเพลงผู้นี้มีครอบครัว นางก็พร้อมจะหางานที่เหมาะสมให้พวกเขาทันที ดีเสียอีกที่หอนายโลมจะได้มีคนมาเพิ่มหรือถ้าหากอีกฝ่ายไม่มีครอบครัว ก็มิใช่ปัญหา
“ไม่มีขอรับ ข้าเป็นคนพเนจร ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติ”
“แล้วท่านชื่ออะไร”
“เตียขุยขอรับคุณหนู”
หนิงชิงหงพยักหน้ารับรู้ “เจ้าค่ะ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เดินนำนักดนตรีและสาวใช้ พลันคิดย้อนไปถึงชีวิตเดิมที่จากมากับที่นี่ มันอาจไม่ได้แตกต่างกันมากนักไม่ว่าจะเป็นเรื่องชนชั้นวรรณะ ความจนความรวย ความสวยความงาม สรุปคือตัวนางยังคงใช้ชีวิตในแบบเดิมได้ จะผิดก็แค่เรื่องที่นางยังไม่ได้อยู่ในวัยปักปิ่น ดังนั้นเรื่องใต้สะดือจึงต้องขอผ่านไปก่อน ‘ไม่รู้สิ พอมาอยู่ในจุดนี้ นางมิได้มีความต้องการทางเพศเหมือนเคย สถานที่เปลี่ยน รูปร่างหน้าตาเปลี่ยน ช่วงวัยก็เปลี่ยน นิสัยของนางจึงเริ่มเปลี่ยน ใช่รึเปล่า?’