จวนสกุลเถิน
เจ้ากรมอาญาเต๋อมู่หรวนนำใบแจ้งความเดินทางมายังจวนสกุลเถินด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ข้อความในสำนวนนั้นมาจากรัชทายาทที่ต้องการสั่งสอนคู่หมั้นของตนเองให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว มิใช่ออกไปป่าวประกาศแสดงความเป็นเจ้าของให้รัชทายาทได้เสื่อมเสีย แต่ถึงกระนั้นบทลงโทษตามข้อหานี้ ในข้อเท็จจริงเถินเจาหยีควรจะต้องถูกจับกุมไปคุมประพฤติยังคุกหลวงเสียด้วยซ้ำ และสุดท้ายคงไม่พ้นต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งคู่หมั้นเพราะมีคดีความติดตัว ‘แต่นั่นมิใช่เรื่องที่ตนจะกล่าวแย้งกับรัชทายาทได้’ อีกทั้งการมาของเขาอาจจะไม่น่าอายเท่ากับการส่งขันทีส่วนพระองค์มาถึงที่นี่ “ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะเป็นผู้โชคดีกลายเป็นผู้ส่งสาร แต่สตรีสกุลเถินก็ช่างกล้าเกินกำลัง ไม่ดูเงาหัวตนเอง” เปรยกับผู้ช่วยคนสนิทที่มาด้วยกัน ในขณะที่ทหารยามกำลังเคาะประตูหน้าจวน
“ข้าว่านางคงยังเยาว์ จึงมิทันคิดขอรับ” เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูเล็กด้านข้างได้เปิดออก พร้อมกับบ่าวชายคนหนึ่งทางด้านหน้า
บ่าวชายนามว่าอาหัวมีสีหน้าตื่นตกใจ แต่ยังยืนดักทางเหล่าทหารประจำกองปราบพร้อมกับคำถามนอบน้อม “มิทราบว่าท่านมือปราบมาหาผู้ใดรึขอรับ”
เต๋อมู่หรวนถอนหายใจยาว พลางเฉลยคำ “มาแจ้งข้อหากับคุณหนูสกุลเถิน นางอยู่ในจวนหรือไม่”
อาหัวรีบเปิดประตูเล็กข้างจวนพลางเอ่ยละล่ำละลัก “เชิญขอรับๆ” พร้อมกับรีบวิ่งไปแจ้งแก่พ่อบ้านใหญ่ประจำจวนอีกทอด
เรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นในระหว่างที่ฮูหยินของจวนนั่งหน้าซีดอยู่ในห้องโถงพร้อมด้วยร่างกายอันสั่นเทา เนื้อความในกระดาษที่เจ้ากรมอาญานามเต๋อมู่หรวนรออ่านให้ฟังคงไม่พ้นเรื่องที่บุตรสาวไปก่อไว้ในหอนางโลมจนถูกไล่กลับมาพร้อมกับความอับอาย ข่าวลือแพร่สะพัดจนเมื่อวานนี้สาวใช้ในจวนถึงกับไม่กล้าออกไปที่ใด หากเถินอี้ฉวนไม่ไปต่างแคว้น อีกฝ่ายไม่พ้นต้องตำหนินางที่สั่งสอนบุตรสาวได้ไม่ดี แต่เรื่องนั้นคงไม่เท่ากับเรื่องที่นางได้ฟังจากปากผู้ตรวจการที่ว่าบุตรสาวไปตามหารัชทายาทแล้วกล่าวอ้างพระนามอันสูงส่งของพระองค์ในที่แห่งนั้น ความกังวลผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ นางจึงเห็นบุตรสาววิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาด้านในด้วยสภาพน้ำตานองหน้า
“ฮือๆ ข้าจะถูกจับรึเจ้าคะท่านแม่ ฮือๆๆ” เถินเจาหยีร่ำไห้ ความอับอายที่ถูกบุรุษถึงสองคนหิ้วปีกไปทิ้งข้างถนนเมื่อวานนี้ นางยังจำได้ขึ้นใจ เหตุเพราะสตรีในหอนางโลมผู้นั้น ‘หนิงชิงหง’ ที่ในอดีตเคยถูกนางกับสหายกลั่นแกล้ง ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นคนไปแจ้งความว่านางบุกรุกหอนางโลม!
ฮูหยินกอดปลอบบุตรสาวพลางบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ ก่อนที่จะพากันนั่งรับฟังข้อกล่าวหาอีกครั้ง
เต๋อมู่หรวนมองภาพนั้นด้วยท่าทางเบื่อหน่าย เรื่องวัยของเถินเจาหยีมิใช่ข้ออ้างในการกระทำผิด ‘หรืออีกฝ่ายคิดว่า ตนเป็นคู่หมั้นของรัชทายาทแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้’ “เนื่องจากเมื่อวานนี้เถินเจาหยีได้กระทำการลบหลู่เบื้องสูง เปิดเผยพระนามของรัชทายาทในพื้นที่ชุมชน ท่ามกลางผู้คนมากมายก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ราชวงศ์และด้วยเถินอี้ฉวนผู้เป็นบิดาของเถินเจาหยีกำลังปฏิบัติราชกิจอย่างขันแข็งต่อแคว้นโจว จึงลดโทษจากการจับกุมให้อยู่สำนึกผิดภายในจวนสกุลเถินเป็นเวลาหนึ่งเดือน ห้ามออกไปพบปะผู้ใด รับทราบหรือไม่คุณหนูเถิน” จะกล่าวว่าการมาแจ้งข้อหา ทดแทนการจับกุมตัวไปยังกรมอาญาก็ถือว่าปราณีมากแล้ว ‘เฮ้อ คดีเช่นนี้จะมีที่ใดบ้าง’
เถินเจาหยีสะดุ้ง ก่อนจะรีบละล่ำละลักตอบคำ “รับทราบ จะ เจ้าค่ะ ฮือๆๆ” กอดมารดาจนแน่น ในขณะที่สองหูยังได้ยินเจ้ากรมอาญาพูดทิ้งท้ายก่อนจะออกไปจากจวนว่า ‘ดีเท่าใดที่รัชทายาทไม่ทรงถอนหมั้น’
&&&&
สองอาทิตย์ต่อมา
หนิงชิงหงยืนกอดอกมองความคืบหน้าของหอนายโลมของนางอย่างพึงพอใจ ชั้นบนแล้วเสร็จเตรียมพร้อมใช้งานเหลือเพียงชั้นล่างที่รอขนโต๊ะเก้าอี้เข้ามาจัดวางและตกแต่งอีกเล็กน้อย มองจากด้านหน้า สภาพหอนายโลมของนางเป็นหน้าต่างเปิดกว้างโดยรอบ มองเห็นร้านขายอาหารกับเวทีเล็กๆ สำหรับโชว์ตัวบุรุษ ‘หึหึ’ ในอีกสามวันที่จะถึงนี้นางจะปิดรับพนักงานพร้อมกับเริ่มคัดตัวนายโลม! “เรามาดูกันสิว่าจะมีหนุ่มหล่อคนใดเข้าตาข้าบ้าง”
“หนุ่มหล่อรึเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทนามเม่ยเม่ยทำหน้าสับสนก่อนจะค่อยๆ ตีความทีละคำ บ่อยครั้งที่คุณหนูชิงหงพูดจาแปลกประหลาด แต่มิได้หมายความว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีวิปลาส...มันก็แค่ตัวนางต้องคิดให้ลึกกว่าเดิมเท่านั้น “บุรุษรูปงามรึเจ้าคะ”
“ใช่ บุรุษรูปงามนั่นล่ะ แต่การคัดเลือกของข้าอาจจะถึงเนื้อถึงตัวไปสักหน่อย เอาไว้ให้ถึงยามนั้นพวกพี่ก็คอยช่วยเหลือข้าด้วยก็แล้วกัน น่าจะใช้พื้นที่ตรงนั้นเอาไว้ตรวจร่างกายของนายโลม” ชี้ไปยังห้องเล็กที่นางเตรียมเอาไว้เป็นห้องพักผ่อนและเก็บเอกสารสำคัญของตนเอง “อีกครู่ข้าจะไปช่วยท่านแม่ที่หอนางโลมแล้ว พวกพี่ช่วยดูแลเรื่องผ้าม่านให้ข้าด้วยเล่า”
“ได้เจ้าค่ะ/ได้เจ้าค่ะ” สองสาวใช้เม่ยเม่ยและซวงถิงรับคำเป็นอย่างดี ก่อนจะช่วยกันเดินตรวจหอนายโลมเมื่อคุณหนูหนิงชิงหงเดินออกไป
&&&&
หอนางโลมเจี่ยเจีย
“ช่วงที่ข้าวิ่งไปวิ่งมา มีบุรุษมาสมัครงานอีกสิบคนเลยรึเจ้าคะ” หนิงชิงหงพลิกกระดาษรับสมัครนายโลมไปมาพร้อมกับทำหน้ายุ่ง “ท่านแม่ ลูกควรปิดรับสมัครดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ปิดอย่างไร มิใช่ว่าเจ้าจะต้องตรวจสอบพวกเขาก่อนหรอกรึ ไม่แน่ว่าในจำนวนบุรุษทั้งห้าสิบคนนี้อาจจะมีเข้าตาเจ้าแค่สิบคนก็ได้ใครจะรู้ บุรุษที่จะเป็นนายโลมได้ อันดับแรกต้องหน้าตาดูดีใช่หรือไม่ มิใช่ว่าแม่จะดูถูกผู้ใด เพียงแต่ว่าหากรับบุรุษที่ขี้ริ้วขี้เหร่รึผอมแห้งแรงน้อยเข้ามาจะดึงดูดลูกค้าได้หรือ” ในความเห็นนี้ หากย้อนกลับมาดูที่หน้าตาของนางโลมทั้งหมดนั้น ในอดีตแล้วอาจจะมีบางคนที่มิได้งดงามมาตั้งแต่แรก แต่ด้วยการแต่งเสริมใบหน้าของสตรีนั้นมีหลายทาง ต่างกับนายโลมของบุตรสาวที่เป็นบุรุษ การแต่งเสริมใบหน้าด้วยสีชาดหรือผัดแป้งบนใบหน้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นแล้วการเฟ้นหาบุรุษหน้าตาดีเอาไว้ก่อนตั้งแต่แรกย่อมเป็นเรื่องที่ควรทำ
‘อันนั้นนางไม่เถียง เพราะการจะดึงดูดลูกค้าได้ อันดับแรกก็ต้องดูกันที่หน้าตา อายุและรูปร่างร่วมอยู่ด้วย’ “อืม...สตรีอย่างเราสามารถใช้การแต่งหน้าช่วยได้แต่สำหรับบุรุษนั้น หากรูปร่างหน้าตาธรรมดาแล้วมีไอ้นั่นใหญ่ ก็น่าจะผ่านได้นะเจ้าคะ”