“คริส นายต้องเข้าเรียนครูนภัสสรนะ ไม่งั้น...”
“ไม่งั้นจะฟ้องพ่อฉันอีกใช่ไหม” เขาดักทั้งที่ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ สีหน้าเขาดูรำคาญเต็มทน และรู้สึกเหมือนจะไม่พอใจด้วย เขาดูอารมณ์ไม่ดีมากๆ เป็นสถานการณ์ที่ทำให้ฉันใจแป้วบ่อยๆ แต่ก็เลิกยุ่งไม่ได้ ขอยุ่งให้ถึงที่สุดแล้วกัน
“นายจะติด ร.”
“ก็ค่อยแก้ จะพาไปแก้อยู่ไม่ใช่เหรอ” ชินแล้วกับน้ำเสียงที่ไม่แยแสนั้น
“ไม่เข้า แล้วก็ไม่ต้องตามหา” บอกแบบไร้เยื่อใยแล้วก็ลุกจากม้าหินอ่อน แต่ฉันก็เผลอลุกตามไปติดๆ จนเขาหันกลับมามองด้วยสายตาไม่พอใจ...และน่ากลัวก็ทำให้ชะงัก
“ไม่ต้องตาม อย่าให้พูดซ้ำ” สายตาเขากดนิ่งก่อนจะหันหลังให้ เดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย หัวใจฉันยังเต้นระรัวด้วยความกลัว จำไม่ได้ว่าคริสเคยมองฉันด้วยสายตาน่ากลัวขนาดนี้หรือเปล่า พอความกลัวคลายลงมันก็แทนที่ด้วยความน้อยใจ...เสียใจ ทำไมต้องดุกันขนาดนี้ แค่ความเย็นชากับความรำคาญที่แสดงออกให้เห็นประจำใจมันก็เจ็บแล้วนะ
“ชมพู ขึ้นห้องเลยไหมจะถึงคาบแล้ว” ลิต้าเดินมาหาฉันหลังจากปล่อยให้ฉันเคลียร์กับคริส ฉันหันไปมองลิต้ากับแบมด้วยอาการคอตก
“ปล่อยมันไปเหอะไอ้คริสน่ะ เดี๋ยวมันติด ร. มาก็ช่วยมันแก้แล้วกัน” อันนั้นก็ไม่เถียง เพราะช่วยตามช่วยแก้ให้มาตั้งแต่มอหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคริสอาจเรียนไม่จบมอสามก็ได้ ตอนนี้ก็มาสู้ให้จบมอหกอีกที เหลืออีกหนึ่งเทอมกับครึ่งเทอม
“แกพูดเหมือนคริสเลยแบม”
“เออ เห็นไหม แกก็ทำให้มันเคยตัว” ลิต้ากับแบมรู้ดีว่าฉันคิดกับ คริสเกินเพื่อน ส่วนคนอื่นๆ ที่เห็นอาการที่ฉันคอยวุ่นวายกับคริสอย่างมากก็แค่สงสัยหรือหมั่นไส้ คริสน่ะยิ่งโตยิ่งหล่อ มีแต่คนอยากเข้าหา แต่เขาเป็นพวกไม่เอาใคร...รวมถึงฉันด้วย
วันนี้ทั้งวันจึงเป็นวันที่ทุกอย่างดูเลื่อนลอยน่าเบื่อไปหมด คริสหลบเรียนตั้งแต่คาบแรกของตอนบ่ายจนถึงคาบสุดท้าย
“ชมๆ โทรศัพท์แกปะ” ลิต้าสะกิดฉันให้มองโทรศัพท์ที่สั่นครืดบนโต๊ะซึ่งฉันไม่ได้สนใจมันเพราะมัวคิดเลื่อนลอย ชื่อของคนที่โทรเข้ามาทำให้อารมณ์เบื่อๆ ตลอดภาคบ่ายมีความตื่นเต้นเข้ามา คริสไม่น่าจะโทรหาฉัน
“คริส โทรมาทำไม”
“เอ่อ คุณเป็นอะไรกับเจ้าของโทรศัพท์ครับ พอดีเห็นเบอร์นี้โทรเข้ามา” เสียงที่ตอบกลับไม่ใช่เขา และประโยคคุ้นๆ ที่เคยได้ยินผ่านละครหลายๆ เรื่องก็ทำเอาใจฉันแทบจะหล่นมากองที่เท้า
“เป็นเพื่อนค่ะ คริสเป็นอะไรเหรอคะ ทำไมได้โทรหา”
“น้องเขาถูกแทงครับ ตอนนี้พวกผมพาเขามาถึงโรงพยาบาลแล้ว ติดต่อญาติน้องไม่ได้เลยลองโทรเบอร์นี้ดู” สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกชาไปทั้งตัว ใจเต้นรัวเร็ว หูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร นานทีเดียวกว่าถามกลับไปได้
“เขาเป็นอะไรมากไหมคะ” ภาวนาอย่าให้เขาเป็นอะไรมากเลย ที่ผ่านมาคริสมีเรื่องตีต่อยบ่อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นโดนแทง
“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ก็แผลใหญ่ เลยพยายามโทรหาญาติ น้องสามารถติดต่อญาติเขาได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะได้ ตอนนี้คริสอยู่โรงพยาบาลไหนคะ” แม้จะใจเสียกลัวเขาเจ็บมากแต่ก็รีบตั้งสติคุยให้รู้เรื่อง พอได้ชื่อโรงพยาบาลมาก็รีบโทรหาคุณพ่อของเขา
“แก คริสเป็นอะไร” แบมที่ฟังอย่างตั้งใจกับลิต้าถามขึ้นหลังจากที่ฉันวางสายกับคนเมื่อกี้และกำลังเลื่อนหาเบอร์คุณพ่อเขา
“ถูกแทง”
“หา ถูกแทง” ทั้งสองคนประสานเสียงแข่งกัน ได้ยินไปทั้งห้องจนถึงครูที่นั่งหน้าห้อง
“อะไรถูกแทงลิต้า ใคร” ครูถามก่อนใครแล้วเดินมาหาพวกฉัน เพื่อนในห้องก็หันมาเอาคำตอบจากฉัน ขณะที่ฉันรอคุณพ่อเขากดรับสายสักที
“คริสค่ะครู ตอนนี้หนูกำลังโทรหาพ่อเขาอยู่” คุณพ่อของคริสรับสายฉันพอดี
“มีอะไรหรือเปล่าชมพู”
“คุณตาคะ เมื่อกี้มีคนใช้โทรศัพท์คริสโทรหาหนู บอกว่าเขาถูกแทงตอนนี้อยู่โรงพยาบาลX”
“อะไรนะ...แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง”
“พ้นขีดอันรายแล้วค่ะคุณตา แต่เขาบอกว่าแผลใหญ่พอสมควร ติดต่อญาติไม่ได้ เลยลองโทรมาเบอร์หนู”
“เออ มันไม่ได้เม็มชื่อพ่อว่าเป็นพ่อละมั้ง เดี๋ยวตาไปโรงพยาบาล ขอบใจหนูมากนะ” ก็เป็นไปได้ที่คริสจะไม่เม็มชื่อคนในครอบครัวด้วยความสัมพันธ์ คนที่โทรมาเมื่อกี้เลยสุ่มมาโดนเบอร์ฉันที่โทรตามเขาหลายสาย
“ค่ะ เดี๋ยวหนูนั่งแท็กซี่ตามไปนะคะ” ฉันวางสายจากคุณพ่อคริสแล้วก็หันมาขอครูที่ปรึกษาในชั่วโมงแนะแนว
“หนูขอไปโรงพยาบาลได้ไหมคะ”
“ไปๆ ไปพร้อมครู” ครูที่ปรึกษาก็ดูเป็นกังวล ฉันสามคนเลยคงต้องติดรถครูไปโรงพยาบาล
“ครูครับ พวกผมขอไปด้วย” เพื่อนคนอื่นๆ ในห้องก็อยากตามไปโรงพยาบาลเหมือนกัน ซึ่งคุณครูก็อนุญาต พวกเราไปถึงโรงพยาบาลในอีกยี่สิบนาทีต่อมา ครูพาพวกเราไปที่ห้องฉุกเฉินก่อนเพราะคริสน่าจะยังรักษาอยู่ที่นี่ และก็เจอกับคุณพ่อของคริสพอดี
“คุณพ่อสวัสดีค่ะ” ครูเข้าไปทักทายคุณพ่อก่อน
“สวัสดีครับคุณครู”
“ได้ยินข่าวจากชมพูน่ะค่ะ อาการเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็คงเย็บหลายเข็ม” คุณพ่อของคริสพยายามพูดด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย แกยิ้มจางๆ แต่ก็มีความเครียดอยู่มาก
“ครู คริสเป็นยังไงบ้างคะ” เพื่อนที่ทยอยตามมาถึงทีหลังเข้ามาถามไถ่อาการคริส พวกเราทั้งหมดคุยกับคุณพ่ออยู่นอกตึก รอเกือบชั่วโมงเจ้าหน้าที่ถึงมาตามคุณพ่อให้เข้าไปดูคริส ซึ่งก็เข้าไปได้แค่คนเดียว และพวกเราคงไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมคริสได้ทั้งหมดทั้งยี่สิบกว่าคน
ครึ่งชั่วโมงคุณพ่อคริสถึงเดินออกมาอีกรอบให้พวกเราได้ถามอาการเขา
“หมอกำลังเย็บแผลอยู่ครับ ไม่แน่ใจว่าจะมาสามารถย้ายไปพักฟื้นที่ห้องพิเศษได้ตอนไหน ยังไงคุณครูกับเด็กๆ กลับกันก่อนก็ได้นะครับ คืนนี้เขาน่าจะยังไม่ให้เข้าเยี่ยม”
“หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากนะคะ”
“โอย ไม่หรอกครับ ระดับไอ้คริสแค่นี้ยังถือว่าเจ็บน้อยไป” คุณพ่อของเขาพูดอย่างปลงๆ กับวีรกรรมของลูกชาย
“ต้องขอโทษคุณพ่อด้วยนะคะที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้” คุณครูเอ่ยด้วยความหนักใจ คุณพ่อคริสยิ้มใจดีให้เธอ
“ผมไม่โทษครูหรือโรงเรียนหรอกครับ มันพาตัวเองออกไปเจ็บตัวเอง” คุณพ่อของคริสคงทราบรายละเอียดของเหตุการณ์มาบ้างแล้ว ว่าคริสถูกทำร้ายที่ไหน และคงเดาได้ว่าเขาหลบเรียน
พวกเราอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อต่ออีกเล็กน้อยก็เริ่มทยอยกันกลับ ส่วนฉันอยากเจอหน้าเขาให้เห็นกับตาว่าเขาไม่เป็นอะไร เลยขอคุณพ่อว่าจะอยู่เป็นเพื่อน แล้วให้ตามารับอีกที
“แต่ครูว่าชมพูกลับพร้อมครูดีกว่านะ” ครูขวัญคงเป็นห่วงฉันนั่นแหละ
“ไม่เป็นไรหรอกครับครู เดี๋ยวผมโทรบอกตาเขาเอง...เป็นเพื่อนกัน” คุณพ่อของคริสช่วยพูดให้ แต่ครูขวัญก็โทรถามคุณตาฉันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จนได้ข้อสรุปให้ฉันอยู่โรงพยาบาลต่อได้
ฉันนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเป็นเพื่อนพ่อคริส พยาบาลมาตามแกไปสอบถามข้อมูล ไปดูอาการคริสสามสี่รอบก็ยังไปเยี่ยมเขาไม่ได้ นาฬิกาที่เดินผ่านไปกว่าสี่ชั่วโมงมันยาวนาน แต่ก็ไม่นานเกินที่ฉันจะรอเจอเขา
“ปะชม เข้าไปดูเจ้านั่นกัน” พอรอบสุดท้ายที่คุณหมออกมาบอกว่าให้เข้าเยี่ยมได้หลังจากที่แยกคริสไปห้องพิเศษหลังเวลาผ่านไปเกือบหกชั่วโมงก็เหมือนทุกอย่างมันโล่งขึ้นมาวูบหนึ่ง ฉันลุกขึ้นตามคุณตา ชะเง้อมองเตียงที่เจ้าหน้าที่เข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน มองด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ คริสนอนหลับอยู่ ฉันกับคุณตาตามเจ้าหน้าที่ไปถึงห้องพัก