ตอบแทนบุญคุณท่านอ๋อง

3131 Words
เสียงลมแผ่วเบาพัดผ่านหน้าต่างห้อง ก่อให้เกิดเสียงคล้ายเพลงธรรมชาติบรรเลงไพเราะ ผ้าม่านผืนบางไหวกระทบกันเป็นระลอก ดวงตาของหญิงสาวบนเตียงค่อย ๆ ปรือลืมขึ้นอย่างเชื่องช้ากะพริบเล็กน้อยเพื่อปรับสายตาให้พร้อมรับแสงที่ส่องเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างในห้อง หัวสมองของนางยังว่างเปล่าเช่นเคย ความคิดค่อย ๆ ปะติดปะต่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะเริ่มรับรู้ได้ถึงความอ่อนเพลียทั่วทั้งร่างกาย นางพยายามขยับตัว แต่ทันใดนั้นความสับสนและความรู้สึกหวาดระแวงไหลเข้ามาท่วมท้นในจิตใจ นี่มันที่ไหนกัน? สายตาคมดุจเหยี่ยวมองไปรอบ ๆ ห้อง หัวของนางยังคงว่างเปล่า ไร้ซึ่งความทรงจำใดใดทั้งสิ้น นอกจาก... “ล่าสุด ฉันกำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชายมากมาย พวกมันมาร้าย...” เสียงหวานพึมพำทั้งที่ยังไม่ลุกขึ้นจากเตียง “แล้วก็...” ภาพใบหน้าของชายในชุดเกราะคนหนึ่ง ชายที่หน้าตาหล่อเหลาและดูดุร้ายไม่แพ้กัน ช่างน่าประหลาดที่นางจำใบหน้าของชายผู้นั้นได้อย่างชัดเจนราวกับแววตาและใบหน้านั้นสลักลึกลงไปในจิตใจเรียบร้อยแล้ว เขาคือผู้ที่ช่วยนางจากกลุ่มชายที่พยายามจะพานางไปที่ไหนสักแห่ง เอาจริง ๆ คือจำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก "คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ" เสียงนุ่มนวลดังขึ้นข้างเตียง ทำให้คนเพิ่งฟื้นหันไปเห็นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายสะอาดตา ผู้หญิงคนนี้ดูแลนางอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หญิงสาวพยายามพูด แต่เสียงที่ออกมากลับแหบพร่า "ที่นี่...คือที่ไหน?" "ที่นี่คือจวนของต้าอ๋องหลินหยางเจ้าค่ะ ท่านอ๋องเป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูเอาไว้จากพวกคนที่อ้างว่าคุณหนูเป็นคนของหอนางโลมเจ้าค่ะ" นางขมวดคิ้ว ความจำฉากการต่อสู้เลือนลางที่พร่าเลือนค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาทีละน้อย แต่นางยังไม่สามารถต่อภาพได้ทั้งหมด "หอนางโลม...ฉันเป็นนางโลมเหรอ...ไม่ใช่สิคนพวกนั้นไม่ได้หวังดีต่อฉัน" "คุณหนูพูดจาแปลกประหลาดยิ่งนัก ท่านต้องมิใช่คนที่แคว้นของเราแน่ แต่คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ท่านอ๋องไม่เชื่อเรื่องคุณหนูเป็นคนของหอนั้นหรอกแม้ว่ามามาผู้นั้นจะบอกว่าคุณหนูถูกลูกค้าขโมยออกมาก็ตาม ท่านอ๋องเลยตัดปัญหาโดยการจ่ายค่าตัวเพื่อช่วยคุณหนูออกมา" สาวใช้ยิ้มเล็ก ๆ พลางจัดหมอนให้นางนอนสบายขึ้น "ท่านอ๋องเป็นคนดีมากเจ้าค่ะ เห็นแบบนี้แต่ท่านมีจิตใจเมตตา" แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกพิเศษใดกับคำพูดเหล่านั้นแต่ความรู้สึกบางอย่างบอกนางว่าโชคดีมากที่ได้พบกับเขา "ท่านอ๋อง..." นางพึมพำเบา ๆ ใบหน้าของชายคนนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งในหัวสมองอันว่างเปล่า "ฉันจำอะไรไม่ได้เลย...ไม่สิข้า ข้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใครหรือเกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้าจำได้แค่ใบหน้าของท่านอ๋อง...เขาช่วยข้าไว้" "ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ คุณหนูอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณหนูอีก พระองค์มีคำสั่งให้ข้าน้อยดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิด" “ไม่จำเป็น เสียเวลาเปล่า” น้ำเสียงปฏิเสธอย่างเย็นชาสื่อถึงความไม่ต้องการความช่วยเหลือซึ่งท่าทีตอบสนองเช่นนั้นทำให้สาวใช้ผู้หวังดีสะดุ้งตกใจ ก่อนที่คนพูดจะรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอแสดงท่าทีไร้มารยาทโดยไม่รู้ตัว “เอ่อ ขออภัย ข้ารู้สึกไม่ชอบที่ตนเองจำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยพลอยน้ำเสียงไม่ดีใส่เจ้าไปด้วยแถมยังไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว...จึงคิดว่าไม่รบกวนเจ้าดีกว่า” สาวใช้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยน "คุณหนูไม่ต้องเร่งรีบ ข้าน้อยเชื่อว่าความทรงจำจะค่อย ๆ กลับมาเอง ท่านอ๋องหลินหยางทรงให้คุณหนูพักฟื้นอยู่ที่นี่จนกว่าจะหายจากอาการป่วยเจ้าค่ะ" “...” แม้นางจะยังคงไม่แน่ใจว่าสิ่งใดเป็นจริงสิ่งใดควรเชื่อ แต่ความอบอุ่นจากคำพูดของสาวใช้ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย หญิงสาวที่เพิ่งฟื้นพยายามยืดตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงและภาพในหัวหมุนเล็กน้อย สาวใช้เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาช่วยพยุงนาง "คุณหนูอย่าเพิ่งฝืนตัวเองเลยเจ้าค่ะ ร่างกายคุณหนูยังไม่แข็งแรง" "ข้าไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณท่านอ๋อง ข้าควรจะไปขอบคุณพระองค์หรือไม่ก็ตอบแทนพระคุณให้หายติดค้างเสียก่อน" "ท่านอ๋องไม่ได้คาดหวังสิ่งเหล่านั้นหรอกเจ้าค่ะ" "แต่ข้า..." นางกัดริมฝีปาก รู้สึกถึงความอึดอัดในใจ นางไม่อยากให้การช่วยเหลือนี้เป็นเพียงการกระทำที่ทำให้นางติดค้างกับผู้ใดโดยไม่มีแม้กระทั่งคำขอบคุณ นางต้องการพบเขา ต้องการเห็นใบหน้าของเขาอีกครั้งเพื่อแสดงเจตนาของนาง "ข้าอยากเข้าเฝ้าท่านอ๋องจริง ๆ" นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น น้ำเสียงนั้นสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในใจ สาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ถอนหายใจเบาแม้นางจะรู้ว่าคุณหนูผู้นี้ยังไม่แข็งแรงพอ แต่ก็ไม่อาจต้านทานความดื้อรั้นได้ "ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยจะช่วยแต่งตัวให้ท่านนะเจ้าคะ เพื่อให้ท่านพร้อมเข้าเฝ้าท่านอ๋อง" คนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองสาวใช้อย่างไม่เข้าใจ "ทำไมต้องให้เจ้าช่วย ข้าแต่งตัวเองได้" สาวใช้ยิ้มอย่างใจเย็น "เป็นหน้าที่ของข้าน้อยเจ้าค่ะ การเข้าเฝ้าท่านอ๋องต้องแต่งกายให้เหมาะสม ข้าน้อยจึงอยากช่วยให้ท่านแต่งตัวสะดวกขึ้น" ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจเหตุผลทั้งหมด แต่ด้วยความไม่อยากสร้างปัญหาจึงพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก สาวใช้จึงเดินไปหยิบชุดผ้าไหมที่ดูงดงามออกมาเตรียมพร้อมสำหรับนาง เมื่อสาวใช้เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับชุดในมือเพื่อจะวัดขนาดตัวให้ สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเกินกว่าที่ทั้งคู่จะคาดคิด หญิงสาวรู้สึกถึงความระแวงแล่นเตือนภัยผ่านทั่วร่างกายราวกับสัญชาตญาณบางอย่างตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่สาวใช้ยื่นมือเข้ามา มือว่องไวกลับคว้าข้อมือของสาวใช้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะบิดแขนของสาวใช้ไปด้านหลัง ล็อคเอาไว้แน่นจนร่างของสาวใช้ไม่สามารถขยับได้ "โอ๊ย ! ข้าน้อยเจ็บ ! แขนข้าจะหักแล้วเจ้าค่ะ !" นางปล่อยมือทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องของอีกฝ่ายจนได้สติทำสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองทำ... ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจที่ตนเองทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว สาวใช้ถอยห่างออกไปด้วยใบหน้าซีดเผือด ขณะที่นางนั่งนิ่งมองมือของตนเองเหมือนกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือตัวเอง "ข้า...ข้าขอโทษ" นางพูดด้วยเสียงสั่นเครือความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาท่วมท้นหัวใจ นางยกมือขึ้นมาตีมือตัวเองเบา ๆ ด้วยความรู้สึกว่าตนเองทำผิดร้ายแรง "ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ" สาวใช้ยืนตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามยิ้มเพื่อให้สถานการณ์คลายความตึงเครียด "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่เจ็บมากที่ร้องเพราะแค่ตกใจเท่านั้น" "ไม่...ข้าขอโทษจริง ๆ" หลังจากสาว ใช้เงียบไปสักพักนางก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง "ข้าคิดว่าข้าจะแต่งตัวเองดีกว่า เรื่องแค่นี้ ข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องรบกวนเจ้าหรอก" สาวใช้มองหน้าอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้า "ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยจะรออยู่ข้างนอก หากท่านต้องการความช่วยเหลือเรียกข้าได้เสมอเจ้าค่ะ" นางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่สาวใช้จะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้อยู่คนเดียวในห้องอันเงียบสงบ นางนั่งอยู่ครู่หนึ่ง มองมือของตนเองด้วยความสับสน ร่างกายของนางตอบสนองรวดเร็วอย่างที่นางไม่เข้าใจ อาการความจำเสื่อมอาจพรากความทรงจำแท้จริงไปจากนาง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือความตื่นตัวของร่างกาย สัญชาตญาณนั้นยังคงทำงานอย่างแข็งขัน แม้ว่าความคิดจะยังพร่าเลือน คิดมากเกินไปแล้ว...นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ชุดผ้าไหมที่สาวใช้เตรียมไว้ มือบางหยิบมันขึ้นมา มองดูความงดงามของมันในมือ รู้สึกถึงผ้าเนื้อนุ่มลื่นที่ให้ความรู้สึกสบายเมื่อสัมผัสแม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับชุดทำนองนี้สักเท่าไหร่ก็ตาม เวลาผ่านไปราวสองก้านธูป ในห้องพักที่เงียบสงบนั้นมีหญิงสาวยืนอยู่หน้ากระจก มองตนเองในชุดผ้าไหมโบราณที่ไม่คุ้นเคย ทั้งที่พยายามแต่งตัวเองให้เรียบร้อย แต่เสื้อผ้าชุดนี้กลับทำให้นางสับสนอย่างมาก นางสวมใส่บางชิ้นผิดที่ผิดทางจนดูแปลกประหลาดไปหมด สายผ้าที่ควรจะพันเอวกลายเป็นผ้าโพกหัวอย่างงง ๆ ในขณะที่กระโปรงยาวที่ควรคลุมขากลับถูกรัดทำเหมือนกางเกง "ทำไมต้องซับซ้อนขนาดนี้นะ..." นางพึมพำกับตัวเองพลางขมวดคิ้ว เมื่อมั่นใจว่าตนเองแต่งตัวเรียบร้อย (แม้จะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่) หญิงสาวหน้ากระจกสูดลมหายใจเข้า-ออกลึก ๆ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปพบชายผู้ช่วยชีวิตของนางเพื่อกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ลึก ๆ ในใจคิดว่าบางทีนางอาจจะได้คำตอบเกี่ยวกับความทรงจำที่หายไปด้วยจากชายผู้นี้ด้วยก็เป็นได้ หญิงสาวเปิดประตูห้องเดินออกมาอย่างมั่นใจ แม้ไม่รู้ตัวว่าชุดที่สวมใส่อยู่จะสร้างความวุ่นวายตามมาได้เพียงใด ทันทีที่เดินผ่านสาวใช้คนแรกเสียงหวีดร้องดังขึ้น "ว้าย ! คุณหนูเจ้าคะ ชุดนั้นมัน..." สาวใช้คนนั้นมองนางด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตกตะลึงทว่าวสตรีที่โดนทักทำเพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินต่อไป ไม่สนใจเสียงร้องตกใจรอบตัว ขณะที่นางเดินผ่านโถงทางเดิน เสียงหวีดร้องของสาวใช้และคนงานที่เห็นนางในชุดประหลาดก็ดังขึ้นเป็นระลอก ทุกคนหันมามองด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะนางไม่สวย แต่เพราะชุดที่สวมใส่ไม่เข้าที่เข้าทางเอาเสียเลยต่างหาก "คุณหนูเจ้าคะ ชุดนั้นผิด !" สาวใช้คนหนึ่งตะโกนเรียก แต่นางเพียงยักไหล่แล้วเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ “เพียงแค่เครื่องนุ่งห่มทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากจนเสียเวลากันด้วย ช่างเถอะ ข้าจะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องด้วยชุดนี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาให้พวกเจ้าสอนสวมชุดอีกทีแล้วกัน” สาวใช้อีกคนรีบวิ่งเข้ามาขวางหน้า "คุณหนูเจ้าคะ ท่านต้องแต่งตัวใหม่ก่อนเข้าเฝ้าท่านอ๋อง ชุดนี้ไม่เหมาะสมเลย" "ไม่เป็นไร ข้าอยากเข้าไปขอบคุณท่านอ๋องก่อน " นางตอบเสียงเรียบ พลางเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้เหล่าสาวใช้ยืนมองตามอย่างอึ้ง ๆ ในที่สุด นางก็เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ ที่ซึ่งท่านอ๋องหลินหยางประทับอยู่เพื่อคุยสั่งงานกับข้าราชบริพาร ทันทีที่นางก้าวเข้ามาในห้อง บรรยากาศกลับตึงเครียดขึ้นทันตา ทหารยามและข้าราชบริพารหันมามองนางอย่างไม่เชื่อสายตา ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชุดประหลาดที่นางสวมใส่ ไม่ยกเว้นแม้แต่เจ้าของจวนแห่งนี้ ท่านอ๋องหลินหยางเงยหน้าขึ้นมองนาง ใบหน้าของเขาคลายความสงบสุขกลายเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความเคร่งขรึมแต่ยังคงรักษาความสง่างามของเขาไว้ "เจ้า...ทำไมถึงแต่งตัวเช่นนี้" นางหยุดยืนตรงหน้าท่านอ๋อง ค้อมตัวเล็กน้อยก่อนตอบ “อย่าทรงสนใจเรื่องชุดของหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันมาเพื่อเอ่ยขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตเอาไว้ หม่อมฉันไม่มีอะไรตอบแทนท่านในตอนนี้ แต่หากท่านมีสิ่งใดที่ต้องการให้หม่อมฉันทำ หม่อมฉันยินดีตอบแทนความกรุณาของพระองค์เพคะ" ท่านอ๋องนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเบา ๆ และหันไปสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ "ผู้ใดแต่งตัวเช่นนี้ให้นาง เอาตัวบ่าวไร้ประสิทธิภาพผู้นั้นไปโบยเสีย !" สาวใช้ที่รู้ตัวว่าตนเองโดนลงโทษแน่รีบก้มตัวน้อมรับความผิดอย่างรวดเร็ว "พะ เพคะ ท่านอ๋อง" สตรีผู้เป็นต้นเหตุของปัญหาก้าวเข้ามาขวางข้างหน้าสาวใช้ที่ไม่ได้ทำอันใดผิดแต่กำลังถูกลงโทษอย่างไม่เข้าใจ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย "ชุดนี้มันดูไม่ดีถึงขนาดนั้นเลยหรือเพคะ ไยจึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยเพคะ หากหาคนที่ผิดย่อมเป็นหม่อมฉันหาใช่นาง" "ไม่เพคะ ชุดที่ท่านสวมไม่ถูกต้องเพคะ ข้าน้อยรู้แต่ไม่สามารถห้ามคุณหนูได้ย่อมเป็นความผิดของข้าน้อย" ท่านอ๋องหลินหยางยกมุมปากเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นยืนเบี่ยงหน้าหันไปมองนอกหน้าต่าง "ครั้งนี้ช่างเถอะเจ้าแต่งตัวเองเช่นนี้...ข้าคิดว่าเจ้าคงยังไม่คุ้นเคยกับเสื้อผ้าของคนที่นี่ และข้าขอชื่นชมในความกล้าของเจ้าที่กล้าทำกล้ารับความผิด" “หม่อมฉันมีความผิดหรือเพคะ” “โถ่ คุณหนู ได้โปรดสงบปากลงหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” “...” เมื่อเห็นใบหน้าใกล้ร่ำไห้ออกมาเต็มแก่ของสาวใช้ผู้นั้นจึงทำให้คนที่ไม่คิดว่าตนเองมีความผิดเพียงเพราะสวมใส่เสื้อผ้าไม่ถูกใจของใครยอมปิดปากลงไม่เอ่ยเถียงต่อไป นางเลือกจ้องเขม็งไปที่บุรุษผู้เป็นใหญ่เหนือคนที่นี่โดยไม่เกรงกลัวแตกต่างจากข้าราชบริพารคนที่เวลานี้เห็นเจ้านายของตนยืนขึ้นเอามือไพล่หลังเช่นนี้ก็รู้สึกหวั่นเกรงพากันค้อมศีรษะลงต่ำไม่กล้าสบตามองแล้ว “เอาเถอะ ข้าไม่ถือสาคนป่วย เห็นว่าท่านหมอบอกว่าเจ้าร่างกายบอบช้ำหนัก บาดแผลลึกเต็มเรือนกายน่าจะไม่สามารถลุกเดินได้หลายวัน...” ดวงตาคมกริบกวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเองได้ยินมาซึ่งชายหนุ่มเห็นผ้าพันแผลบางแห่งมีเลือดซึมโผล่ออกมาจากชุดประหลาดนี้จริงอย่างที่ได้ยินจริง ภายใต้ใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกบังเกิดความสงสัยขึ้นมาทว่าเลือกปัดทิ้งไป “...แต่เจ้าคงไม่เจ็บ ดูท่าข้าคงต้องเปลี่ยนท่านหมอรักษาคนใหม่ดูแล้วล่ะ ช่างคาดเดาอาการคนไข้ของผู้ป่วยตนเองหาความแม่นไม่ได้สักนิด” “...” ใครบอกไม่เจ็บกัน หญิงสาวที่ยืนหลังตรงเดินเหินได้ปกติเถียงออกมาในใจ นางเจ็บแต่แค่ชินชา จำไม่ได้ว่าทำไมต้องอดทนแสดงท่าทีให้ดูเหมือนคนไม่เจ็บ แต่แค่รู้สึกว่าบาดแผลพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย "เอาเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนชุดตอนนี้ ข้าจะมีงานต่ออีก..." เสียงของท่านอ๋องเย็นชา และตัดจบการสนทนาอย่างฉับพลัน “ข้ามีเรื่องจะพูดกับแม่นางพอดี อาการดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” หญิงสาวยืนนิ่งรู้สึกถึงบรรยากาศที่กดดันรอบตัว "หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วเพคะ ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหม่อมฉัน" นางกล่าวเสียงเบาพลางมองไปที่เขา "แต่หม่อมฉัน...ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าท่านช่วยหม่อมฉันเพราะเหตุใดพวกเรารู้จักกันหรือ" "ข้ายังมิได้อนุญาตให้เจ้าเอ่ยถาม” ท่านอ๋องยังคงไม่หันกลับมา ดวงตาคมของเขามองตรงไปข้างหน้าน้ำเสียงยังคงเย็นชาเหมือนเดิม “เจ้ารู้สึกเจ็บปวดที่ใดอีกหรือไม่" "หม่อมฉันไม่เจ็บปวดมากเท่าไหร่นักเพคะเพียงแค่ความจำหม่อมฉันเหมือนจะหายไป...จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน..." "เจ้าจำอะไรเกี่ยวกับตัวเจ้าไม่ได้เลยหรือ" "เพคะ หม่อมฉันจำสิ่งใดไม่ได้เลย จำได้เพียงแต่ใบหน้าของท่าน...ตอนที่ท่านช่วยหม่อมฉันไว้" คำพูดนั้นทำให้ท่านอ๋องหลินหยางเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลง ราวกับกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ “ในเมื่อเจ้าจำอะไรไม่ได้ ข้าจะตั้งชื่อใหม่ให้เจ้า" เขากล่าวเสียงเรียบเรียบ "จากนี้ไป ให้ทุกคนเรียกเจ้าว่า เฟิงฉีหลิน" นางมองเขาด้วยความงุนงง ชื่อใหม่...เฟิงฉีหลินงั้นหรือ นางพยักหน้าอย่างช้า ๆ "ขอบคุณท่านอ๋องที่ประทานชื่อใหม่ให้หม่อมฉันเพคะ" “อืม” หลังจากนั้น นางก็ตั้งใจจะพูดในสิ่งที่นางค้างคาใจจนไม่ชอบความรู้สึกนี้มาตลอดตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา "แล้วหม่อมฉันจะต้องตอบแทนท่านอ๋องอย่างไรหรือเพคะ" ในความรู้สึกของนางแม้ไร้ความทรงจำทว่าสมองมักคิดอยู่เสมอว่า บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ท่านอ๋องหันหน้ากลับมาทางนางในที่สุด ใบหน้าของเขายังคงเยือกเย็นแต่สายตาของเขาดูเหมือนกำลังพิจารณาบางอย่าง อ๋องหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ข้ามีสิ่งหนึ่งที่เจ้าอาจทำเพื่อข้าได้ แต่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ความสมัครใจของเจ้า ข้าหาได้ต้องการบังคับใคร" นั่นไง เฟิงฉีหลินรู้สึกถึงความเย็นปกคลุมไปทั่วหัวใจราวกับก่อนความทรงจำเสื่อมนางเคยเผชิญหน้ากับการตอบแทนบุญคุณใครเป็นประจำอยู่แล้วจนชินชา ซึ่งเป็นเรื่องที่นางในเมื่อก่อนคงไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก “ตกลงเพคะ” เฟิงฉีหลินตอบโดยไม่ได้ตริตรองก่อนเนื่องจากลึก ๆ ในใจนางไม่อยากติดหนี้บุญคุณผู้ใดเลยแม้แต่เล็กน้อยก็ตาม “! !” ตกใจกันทั้งห้องรวมถึงคนถามด้วยเนื่องจากยังไม่ทันบอกสิ่งที่จะให้ตอบแทนเลยสักคำน่ะสิ “หึ หึ เจ้าช่างเป็นคนประหลาดยิ่งนัก ไม่กลัวข้าสั่งให้เจ้าไปฆ่าคนเพื่อตอบแทนบุณคุณหรอกหรือ” “...” เฟิงฉีหลินเลือกเงียบดีกว่าตอบสิ่งที่ตนเองคิดออกไป สมองอันไร้ความจำใด ๆ นี้ดันประมวลผลออกมาว่า...ไม่กลัว...เสียอย่างนั้น จะให้นางตอบออกไปได้อย่างไรเล่า “หามิได้เพคะ หม่อมฉันแค่ไม่คิดว่าพระองค์จะเลือกใช้สตรีบอบบางอย่างหม่อมฉันในงานประเภทนั้นต่างหาก” “อืม ข้าถูกใจในความใจกล้าของเจ้ายิ่งนัก มองไม่ผิดที่ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะที่สามารถทำงานนี้ได้” “หม่อมฉันตกลงตอบแทนพระคุณพระองค์เพคะไม่ว่าจะทรงให้ทำสิ่งใดก็ตาม” “ดี เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าตกลงแต่งงานมาเป็นพระชายาให้อ๋องอย่างข้าแล้วนะ” “! !” หา แต่งงาน? สอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD