หนึ่งปีก่อน
ตอนนั้นปักษ์เพิ่งคบหากับขวัญระมิงค์ได้เดือนกว่า ๆ และคืนหนึ่ง หลังจากคนในครอบครัวแยกย้ายกันเข้าห้องนอน ไม่นานปักษ์ก็แต่งตัวออกจากบ้านด้วยความรีบร้อน
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ประไพก็ได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลว่าปักษ์ได้รับอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ และเมื่อไปถึง ก็ได้ทราบว่าเศษกระจกบางส่วนกระเด็นเข้าตาทั้งสองข้าง บาดกระจกตา มีโอกาสที่เขาจะมองไม่เห็น
ซึ่งในที่สุดก็เป็นอย่างที่หวั่นกัน ปักษ์กลายเป็นคนตาบอด
ปราการ เพื่อนสนิทของปักษ์เล่าว่า ที่ปักษ์รีบร้อนออกจากบ้านเพราะเขาส่งข้อความบอกว่าเห็นขวัญระมิงค์อยู่กับผู้ชายคนอื่น ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านั้นปักษ์ไม่เชื่อ แต่ครั้งนี้ปักษ์ตัดสินใจออกไปให้เห็นด้วยตาตัวเอง แล้วเขาก็เห็นรถคันที่เพื่อนยืนยันว่าขวัญระมิงค์อยู่ข้างใน ซึ่งก็ด้วยความรีบตามรถคันนั้นไปนั่นละ ปักษ์ถึงประสบอุบัติเหตุ
แต่วันนั้น ประไพกับไปรยาได้คำตอบว่า น่าจะเป็นการเข้าใจผิดกันในเรื่องนี้ เพราะหลังจากไปรยาโทร.หาขวัญระมิงค์ หญิงสาวก็รีบมาที่โรงพยาบาลในชุดอยู่บ้าน หน้าไม่ได้แต่ง หน้าตาบอกชัดเจนว่าเพิ่งตื่นนอนมาแน่ ๆ ทั้งคู่จึงไม่ถือว่าเป็นความผิดของขวัญระมิงค์โดยตรง ยิ่งขวัญระมิงค์มาคอยดูแลปักษ์ตั้งแต่ตอนอยู่โรงพยาบาลจนย้ายกลับมาอยู่บ้าน ทั้งคู่ก็ยิ่งมั่นใจว่าผู้หญิงแสนดีอย่างนี้ ไม่มีทางนอกใจนอกกายปักษ์อย่างแน่นอน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถตู้ของตระกูลพงศ์นรากร ก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังงามซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจย่านหนึ่ง
ไปรยาลงมาเป็นคนแรก ตามด้วยประไพ จากนั้นจึงเป็นขวัญระมิงค์และปักษ์ปิดท้าย
ปักษ์เงยหน้ามองคฤหาสน์ของครอบครัวด้วยแววตาดีใจอย่างที่สุด ที่วันนี้เขาได้มองเห็นมันอีกครั้ง
“บ้านเหมือนเดิมมั้ยพี่ปักษ์” ไปรยาถามพี่ชาย
“สวยกว่าเดิมอีก...บ้านเราสวยมาก สวยกว่าที่เคยเห็น” คนที่อยู่ในโลกมืดมานานเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื้นตัน พลางมองไปรอบ ๆ ครู่ต่อมาเขาก็หันไปหาคนรัก “ดอกไม้ต้นไม้ที่เราช่วยกันปลูกออกดอกออกผลเยอะเลยนะขวัญ”
ช่วงที่เขายังอยู่ในโลกมืด กิจกรรมหนึ่งที่ขวัญระมิงค์พาเขาทำเพื่อไม่ให้เขาเบื่อ นั่นคือการปลูกต้นไม้และดอกไม้ โดยเธอจับมือเขาปลูก เพื่อให้เป็น ‘ต้นไม้ของเรา’ ที่มันจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนความรักของเขาและเธอ
“ใช่ค่ะ มันโตรอวันที่พี่ปักษ์จะมองเห็นมันไงคะ” ขวัญระมิงค์เอ่ยเสียงอ่อนหวาน
ปักษ์วาดแขนออกโอบไหล่เธอ แล้วก้มลงหอมแก้มเธอฟอดหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยไม่อายสายตาแม่กับน้องสาว แต่ขวัญระมิงค์ที่หน้าแดงก่ำ รีบเบี่ยงหน้าหนีด้วยความอาย
“พี่ปักษ์ทำอะไรคะเนี่ย” เธอตัดพ้อเสียงอ่อน ๆ
“ก็ขอบคุณคนดีของพี่ที่ไม่เคยทิ้งพี่ไปไหนแม้แต่วินาทีเดียวไงจ๊ะ”
“หมายถึงว่า ทำไมทำแบบนี้ต่อหน้าคุณแม่กับน้องปุ๊ต่างหากล่ะคะ”
“ไม่ต้องอายหรอกลูก แม่ว่าแม่เข้าใจพี่ปักษ์นะ” ประไพเอ่ยขึ้น น้ำตาเธอเอ่อคลอรอบที่เท่าไรไม่รู้กับการได้กลับสู่โลกสว่างของลูกชาย “เขาอยากขอบคุณ อยากแสดงให้หนูรู้ว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่มีหนูอยู่ด้วย”
“ใช่ค่ะ...” ไปรยาเสริมขึ้น มองว่าที่พี่สะใภ้ด้วยความซาบซึ้งใจ รัก เคารพและศรัทธาในความรักความมีน้ำใจที่มีต่อครอบครัวของเธอ “พวกเราทุกคนซึ้งในน้ำใจของพี่ขวัญอย่างที่สุดเลยค่ะ เพราะลำพังปุ๊กับแม่ เอาพี่ปักษ์ไม่อยู่แน่ ๆ”
“อุ๊ย ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะน้องปุ๊ พวกเราทุกคนต่างก็มีความสำคัญกับพี่ปักษ์ทั้งนั้นค่ะ” อีกคนเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนตามนิสัย แน่นอนว่ามันยิ่งเพิ่มความรักความเอ็นดูแก่บุคคลทั้งสามได้อีกไม่รู้กี่เท่า
“แต่คนที่ดูแลพี่ปักษ์เป็นหลัก ทำให้พี่ปักษ์มีความสุขก็คือพี่ขวัญ” ไปรยายังไม่ยอมแพ้ ขวัญระมิงค์ส่ายหน้าเบา ๆ พลางยิ้มขำกับการพยายามอวยเธอของน้องสาวคนรัก
“แม่ว่าปักษ์ขึ้นไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะ ลูกยังไม่ควรใช้สายตาเยอะ ๆ นะ” คนเป็นแม่เสนอขึ้น ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย โดยที่ขวัญระมิงค์นั้นเข้าประคองปักษ์ทันทีตามความเคยชิน เหมือนที่เคยทำตอนเขายังมองไม่เห็น
ปักษ์ยิ้มซึ้งใจ ก่อนจะดึงแขนแข็งแรงออกจากการกอดประคองของเธอ แล้วเป็นฝ่ายจับมือเธอเอาไว้ จากนั้นจึงออกเดินไปด้วยกัน
“เออ พี่ขวัญขา ปุ๊ว่าจะเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมามองเห็นของพี่ปักษ์ค่ะ จะจัดงานเล็ก ๆ มีแค่พวกเราในครอบครัวไปก่อน งานใหญ่กว่านี้เอาไว้ทีหลัง”
“ค่ะ”
“พี่ขวัญอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ” ไปรยาถามอีก พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเตรียมจดรายการในโปรแกรม note “อ้อ ปุ๊จำได้ พี่ขวัญไม่ทานเนื้อสัตว์ใหญ่เนาะ”
“ใช่ค่ะ นอกนั้นพี่ทานได้หมดเลย...พี่พาพี่ปักษ์ขึ้นไปพักก่อน แล้วจะลงมาช่วยนะคะ”