เธอตัดปัญหาด้วยการไม่พูดเรื่องนี้อีก และยังยืนยันว่าอย่างไรก็จะอยู่ที่จันทบุรี แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ เพราะพ่อเลี้ยงของเธอเอาที่ดินไปจำนอง เจ้าหนี้มายึด เธอจึงต้องระหกระเหินออกจากบ้าน เดินทางเข้ากรุงเทพ โดยตอนแรกไปอาศัยอยู่กับเพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีด้วยกัน และพอหาบ้านเช่าได้ เธอก็ย้ายออกมาอยู่คนเดียว ซึ่งบ้านหลังนี้ก็มีแค่บ้านเปล่า ๆ เธอจึงต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าไปเอง และนั่นก็ทำให้เธอได้พบกับปักษ์ในงานแสดงสินค้าแต่งบ้านที่เมืองทองธานี
หลังจากนั้นอีกประมาณสองเดือน ตกกลางคืนคืนหนึ่ง ขวัญระมิงค์ก็โทร.มาบอกว่าพ่อไม่สบาย เธอจึงจับแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลในชุดเสื้อยืด กางเกงผ้าที่คว้ามาได้ และเมื่อเข้าไปถึงหน้าห้องพักพิเศษที่น้องสาวบอก เธอก็ได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่เข้ามาต่อว่าเธอด้วยความไม่พอใจ
‘ถ้าไม่ใช่เพราะขวัญ ไอ้ปักษ์ก็คงไม่เป็นแบบนี้’
‘อะไรนะคะ’ เธอย้อนถามด้วยความงุนงง ผู้ชายคนนี้พูดอะไร เธอไม่เข้าใจ ‘คุณเป็นใครคะ แล้วคุณพูดเรื่องอะไร’
‘ก็เพราะขวัญไม่ใช่หรือไง ไอ้ปักษ์ถึงต้องตาบอด พี่ก็แค่ทำหน้าที่เพื่อนที่ดี ไม่อยากให้มันโดนสวมเขา’ เขาไม่ตอบคำถาม แต่ตำหนิเธอต่อ
เธอพยายามจับต้นชนปลาย แต่ก็ยังจับไม่ได้อยู่ดี พออ้าปากจะบอกเขาว่าเธอไม่ใช่ขวัญแล้วก็ไม่รู้จักคนชื่อปักษ์ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ไปรยาเปิดประตูออกมาจากห้องพักคนไข้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พอเห็นเธอ ฝ่ายนั้นก็ยิ้มออก
‘พี่ขวัญ มาแล้วเหรอคะ พี่ปักษ์กำลังอาละวาดหนักเลยค่ะ’
‘เอ่อ...พี่เกรงว่าจะมีการเข้าใจผิดกันนะคะ คือพี่ไม่ใช่…’ เธอยังไม่ทันพูดจบ ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นประไพที่มีสีหน้าเป็นทุกข์ ดูเหมือนเธอกำลังร้องไห้ด้วย
‘หนูขวัญมาก็ดีแล้ว เข้าไปหาพี่ปักษ์เขาเร็ว ๆ เถอะจ้ะ ตอนนี้ใครก็เอาพี่เขาไม่อยู่แล้ว’
‘คือ…’
‘ตอนนี้เหลือพี่ขวัญคนเดียวเท่านั้นที่พี่ปักษ์จะฟัง รบกวนด้วยนะคะ’ ไปรยาเอ่ยขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
จากนั้นเธอก็ถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีข้าวของหลายชิ้นตกเกลื่อนพื้น ลักษณะเหมือนมีคนขว้างด้วยความโมโห และที่นั่น บนเตียงนั่น ชายที่เธอได้พบที่งานแสดงสินค้านั่งอยู่อย่างคนสิ้นหวัง ตาทั้งสองข้างของเขามีผ้ากอซปิดเอาไว้
เธอเข้าใจแล้ว ที่แท้ขวัญระมิงค์ก็หลอกเธอให้มาที่นี่ ให้เธอมาในนามของเจ้าตัว เพราะคงขี้เกียจมาเยี่ยมชายผู้นี้นั่นเอง
‘พี่ปักษ์…’ เป็นนานเธอจึงเอ่ยชื่อเขาที่เพิ่งรู้ด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก เธอตัดสินใจสวมบทบาทเป็นน้องสาว ถ้ามันจะช่วยทำให้เขาดีขึ้นได้จริงอย่างที่ผู้หญิงสองคนข้างนอกว่า เธอก็ยินดี อย่างน้อยก็ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
‘ขวัญ ขวัญเหรอจ๊ะ’ เขาหันตามที่มาของเสียง ยื่นมือออกมาหาเธอ เธอจึงรีบเดินเข้าไปใกล้เพื่อให้เขาจับมือไว้ มือของเขาเย็นจัดทีเดียว
‘พี่ต้องเป็นแบบนี้เพราะขวัญเหรอคะ’ เธอเอ่ยเสียงเครือด้วยความสงสารเขา
‘ขวัญอย่าโทษตัวเอง พี่ผิดเองที่พี่ไม่เชื่อใจขวัญ’ เขาส่ายหน้าพลางกระชับมือเธอเอาไว้แน่น
และหลังจากวันนั้น เธอก็ไม่ได้ห่างเขาอีกเลย เพราะอย่างที่แม่ของเขาได้พูดไว้ว่า นอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีใครเอาเขาอยู่ แม่กับน้องสาวของเขาจึงขอร้องเธอให้ช่วยดูแลเขาหน่อย เธออึดอัดและลำบากใจยิ่งนัก แต่ครั้นจะบอกว่าเธอไม่ใช่ขวัญระมิงค์ ก็กังวลหลายอย่าง กลัวว่าพวกเขาจะโกรธแล้วก็เอาเรื่องคู่แฝดของเธอขึ้นมา โทษฐานที่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุ กังวลว่าจะมีเรื่องบานปลายอื่น ๆ ตามมา ที่สำคัญ เธอเคยโทร.หาน้องสาว แต่ปรากฏว่าขวัญระมิงค์ปิดเครื่อง ติดต่อไม่ได้จนแล้วจนรอด ส่วนพ่อก็ไม่รับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น บอกสั้น ๆ ว่า มาถึงขั้นนี้แล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เธอก็ต้องสวมบทบาทเป็นขวัญระมิงค์ต่อไป!
อย่างไรก็ตาม แม้จะน้อยใจพ่อ จะโกรธน้องสาวที่ทำแบบนี้กับเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถทิ้งชายตาบอดคนหนึ่งแล้วหนีกลับบ้านได้จริง ๆ...
ช่วงบ่าย ปักษ์โทร.หาพลอยมณีเพื่อเลื่อนประชุมกับฝ่ายการตลาด เนื่องจากเขาแพ้กลิ่นอาหารที่ไปทานกับขวัญระมิงค์อย่างหนัก ตามปกติเขาเป็นคนชอบกินเนื้อสัตว์ใหญ่ แต่รอบนี้ เพียงได้กลิ่นเขาก็พะอืดพะอมจนทนไม่ไหว ขวัญระมิงค์จึงต้องพาเขาไปหาหมอด้วยสีหน้าเซ็งและเบื่อหน่าย
“พี่เป็นอะไรเนี่ย เดี๋ยวแพ้นั่นเดี๋ยวแพ้นี่” เธอบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ปักษ์ตอบเธอไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลังจากเล่าอาการให้หมอฟังแล้ว หมอก็ลงความเห็นว่าเขาเครียดและวิตกกังวลอะไรบางอย่าง ซึ่งพอรู้ว่าเขากำลังจะแต่งงาน หมอก็ยิ้ม มองเขาอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงบอกเขาว่าให้ยอม ๆ ว่าที่เจ้าสาวไปเสีย แล้วเขาจะหายเครียด
“กดไลก์ให้คุณหมอเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” ขวัญระมิงค์หัวเราะถูกใจ แล้วหันไปส่งสายตาทำนองว่า ‘เห็นไหม’ ให้ว่าที่เจ้าบ่าวของตน ปักษ์ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ด้วยความหวังว่า หลังจากนี้ อาการของเขาจะดีขึ้น
แต่ดูเหมือนเขาจะหวังมากไป