หลังจากเหตุการณ์ที่ทำเธอหวิดแขนหักก็ใช่ว่าปริญจะเลิกแกล้งบุญรักษา แต่ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้เด็กหญิงเจ็บตัวแบบนั้นอีก เธอได้เข้าเรียนอนุบาลโรงเรียนเดียวกับเขา เริ่มจากชั้นอนุบาลสองเลย แม่เขาก็ฝากฝังให้เขาดูแลน้อง ปริญทำหน้าที่นั้นได้เป็นอย่างดี ถ้ามีใครมาแกล้งเธอ เขาจะต้องไปจัดการให้ ไม่สนลูกใคร...ดังที่เขากำชับเด็กหญิงว่า
“ถ้ามีใครแกล้งให้บอกฉัน อย่าให้ฉันมารู้ทีหลัง ไม่อย่างนั้นเธอจะโดนด้วย ไม่มีใครมีสิทธิ์แกล้งเธอรู้ไหมบุญษานอกจากฉัน” เหมือนกับว่าเจ้าตัวจะสงวนสิทธิ์นั้นไว้คนเดียว
บุญรักษาเรียนโรงเรียนเดียวกับเขาจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่หก พอเข้ามอหนึ่งยายอุ่นก็ขอให้หลานสาวมาสมัครเรียนโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน เพราะไม่อยากรบกวนเจ้านายมากเกินไป ตอนนี้บุญรักษาก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ซึ่งรุ้งรดาก็ตามใจยายกับหลาน
ปริญกับบุญรักษาที่เติบโตขึ้นก็ค่อยๆ ห่างเหินกันออกไป ไม่ค่อยมีเรื่องได้ให้พูดคุย โตเกินจะเล่นอะไรด้วยกันได้มากมาย แต่เขาก็ยังเห็นเธออยู่ในสายตา ก็ไม่ถึงขั้นไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แม่อาจให้ช่วยถามเรื่องการเรียนของเธอ บอกการบ้าน เขาเองยังชอบการพูดประชดประชันตามอารมณ์เกิดหมั่นไส้ที่แม่เขาชมเธอ หรือซื้อของขวัญให้ และเขายังสนุกกับการได้บังคับให้เธอทำอะไรตามใจ ตอนนี้ก็ชอบบังคับให้เธอเล่นเกมด้วย
จนเธอเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ในขณะที่เขาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม ปริญก็ยังนิสัยเดิม เขาเรียกเธอมาหาบนห้องตอนสามทุ่มเพื่อให้มาเล่นเกมด้วย
“ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอ” พอเธอขึ้นมาหาก็มาทำเป็นถาม ถ้าเธออ้างว่ามีการบ้านจะขัดใจเขาได้เหรอ
“เสร็จแล้วค่ะ” ถ้ามันไม่ได้เยอะเกินปกติหรือยากเกินไป บุญรักษาไม่ค่อยมีการบ้านค้างหรอก เธอจะใช้เวลาว่างทำตอนอยู่โรงเรียน กลับถึงบ้านก็รีบช่วยงานผู้ใหญ่ แล้วก็มาทำการบ้านต่อ หลังจากนั้นก็ค่อยอ่านหนังสือ กว่าจะนอนก็เกือบๆ เที่ยงคืน คุณรุ้งรดาก็ให้เธอใช้ห้องนอนที่อยู่ติดกันอ่านหนังสือทำการบ้านหรือนอนได้เลยจะได้ไม่กวนการนอนของผู้เป็นยาย ซึ่งส่วนใหญ่พอทำงานตอนค่ำเสร็จก็หลับตั้งแต่สองทุ่ม
ห้องนอนของปริญกว้างมาก และที่เขานั่งเล่นเกมอยู่ก็เป็นโซนที่แยกออกมาจากเตียงนอนอีกที เป็นคล้ายๆ ห้องนั่งเล่นอีกห้อง ตอนนี้เขาก็ปิดไฟตรงเตียงนอนไว้ อยู่มุมนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นห้องนอน อารมณ์เหมือนห้องทีวีด้านล่างที่เล็กกว่า
บุญรักษานั่งขัดสมาธิบนพื้นพรมเหมือนตอนเด็กๆ ขณะที่เขากึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาเบด
“คุณโปรดให้บุญษาเล่นตัวอะไรคะ” ต้องตามเขาก่อน เกิดเลือกตัวฮีโร่ไม่ถูกใจแล้วแพ้มาก็บ่นเธออีก ปริญมักจะบอกว่าเขาต้องเก็บภารกิจ ชวนเพื่อนในเกมเล่น ซึ่งจะเล่นยากกว่าปกติเพราะอีกทีมเขาก็จะเล่นกับเพื่อนเหมือนกัน ต้องมานั่งเล่นด้วยกันมันจะได้สื่อสารกันรู้เรื่อง
“เธอเล่นซัปใช่ไหม”
“ค่ะ ซัปก็ได้” เป็นผู้หญิงที่ทำหน้าที่คอยซัปพอร์ตหรือปกป้องตัวละครอื่น ปกติเธอชอบเล่นอยู่แค่สองตำแหน่ง ส่วนปริญเขาก็ชอบเล่นตำแหน่งที่ได้ไล่ฆ่าศัตรูเยอะๆ และมักให้เธอเล่นตำแหน่งนี้มากกว่าอีกตำแหน่งที่เธอถนัดไม่ต่างกัน ซึ่งทั้งสองตำแหน่งเขาก็เป็นคนหัดให้เธอเล่นเอง และบุญรักษาก็กลายเป็นติดเกมเหมือนกัน
พอเกมเริ่มบุญรักษาก็ตั้งใจกับการเล่นเกมมาก ส่วนคนที่บอกอยากเก็บภารกิจกลับแอบมองอีกฝ่ายจากด้านหลังบ่อยๆ มองด้วยรอยยิ้มสำราญใจที่เธอไม่เห็น เพราะนั่งหันหลังให้ พอเธอหันมาถามก็ทำเป็นหน้าบึ้งตึง และสั่งให้เธอเล่นเกมตามแผนอย่างนั้นอย่างนี้ บุญรักษาเองพออินเกมมากๆ ก็กล้าบอกเขาเหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ปริญค่อนข้างพอใจ ไม่ดุหรือว่าเธอเลยที่กล้ามาสั่งเขา...เป็นสถานการณ์เดียวเท่านั้น
เขายังมองบุญรักษาด้วยอารมณ์หมั่นไส้เหมือนตอนเด็กๆ อยากหาเรื่องแกล้ง ก่อกวน แต่อีกมุมหนึ่งก็มองเพลิน...บุญรักษาอาจไม่รู้ตัวว่าเขามีความคิดพิเรนทร์แบบผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง แต่ปริญก็หล่อเลี้ยงความไว้ใจของเธอไว้ด้วยการที่ไม่ชวนเธอขึ้นห้องบ่อยเกินไป...หรือหากสั่งให้ขึ้นมาแบบวันนี้ก็จะนั่งเล่นกันอยู่ตรงนี้ บุญรักษาจะได้ไม่กลัวเขา
ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านก็คงไม่มีใครสงสัยอะไร แม่ก็ยังเห็นว่าเขาชอบแกล้งชอบแหย่บุญรักษา และบ้านก็หลังออกใหญ่ แม่ไม่รู้หรอกว่าเขาชวนเธอมาเล่นบนห้องบ่อยแค่ไหน
“คุณโปรดต้องเล่นกี่เกมคะ” เจ้าตัวถามตอนเล่นเกมตาที่สามจบ แล้วก็ปิดปากหาว สงสัยจะง่วงนอนแล้ว พรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียน
“ง่วงก็ไปนอนเถอะ มีเวลาอีกสองวัน พรุ่งนี้เธอกลับจากโรงเรียนก็มาเล่นอีก” เขาไม่อยากจะเรียกเธอขึ้นมาบนห้องดึกๆ ดื่นๆ บ่อยๆ
“ค่ะ งั้นบุญษาลงไปข้างล่างนะคะ”
“อืม เออ พรุ่งนี้ฉันมีเรียนเช้า เดี๋ยวไปส่ง” โรงเรียนเธอเป็นทางผ่านพอดี แม่ก็ชอบบอกให้เขารับน้องไปเรียนด้วย ไม่อยากให้เจ้าตัวขี่มอเตอร์ไซค์ไปเอง ไม่รู้ห่วงอะไรกันนักหนา...แต่ปริญเองก็รับเธอไปเรียนด้วยบ่อยๆ แบบบ่นไปหน้าบึ้งไปตามสไตล์เขานั่นแหละ
“เอ่อ ค่ะ คุณโปรดไปกี่โมงคะ” เธอจะได้รีบแต่งตัวให้ทันเขา
“เธอเสร็จตอนไหนก็ตอนนั้นแหละ ฉันมีเรียนเก้าโมง” จากบ้านไปมหาวิทยาลัยใช้เวลาขับรถเกือบๆ ชั่วโมง เขาเองก็เช่าคอนโดใกล้มหาวิทยาลัยไว้ด้วย...แต่ถ้าไม่ขี้เกียจมากก็จะกลับบ้าน
“ค่ะ” บุญรักษายิ้มเล็กๆ ให้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยความรู้สึกขอบคุณที่เขาใจดีจะไปส่ง ปริญเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ ปากร้าย ขี้แกล้ง แต่ลึกๆ แล้วบุญรักษารู้สึกว่าเขาใจดีอยู่เหมือนกัน...แต่เวลาใจร้ายกับเธอก็เจ็บจริง เสียใจจริง
ช่วงนี้มีสิ่งที่รบกวนจิตใจเขา ยายอุ่นของบุญรักษาเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคร้ายที่ตรวจเจอระยะสุดท้ายเมื่อสัปดาห์ก่อน ปริญรู้สึกเป็นห่วงเด็กคนนั้นมาก เวลามาเรียนก็เอาแต่คิดเรื่องของอีกฝ่ายว่าตอนนี้จะเป็นยังไง จะทำใจได้บ้างหรือยัง
ยายอุ่นเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่บุญรักษามี พ่อของเธอก็เหมือนจะทิ้งเธอไปตั้งแต่ห้าขวบนั่นแหละ นานทีปีหนเขาถึงจะเห็นว่าอีกฝ่ายติดต่อมา แต่บุญรักษาก็ไม่สนใจอะไรพ่อเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว การสูญเสียยายทวดจึงเหมือนเธอไม่เหลือใครแล้วจริงๆ
แม่ของเขาต้องให้บุญรักษาอยู่ที่บ้านต่ออยู่แล้ว คนงานในบ้านคนอื่นๆ ก็สนิทสนมและคงช่วยดูแลเธอ แต่ก็คงไม่เหมือนยาย
ช่วงนี้เขาเรียนปีสามเทอมสอง มีโปรเจกต์กลุ่มกับเพื่อน ทำงานกันดึกดื่นไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน ใจก็ยิ่งกระวนกระวาย
“วันศุกร์ก็ต้องไปนำเสนอเค้าโครงกับอาจารย์แล้ว วันนี้เราคุยกันกันอีกทีไหม อยากผ่านเลย” เพื่อนผู้หญิงที่ทำงานกลุ่มเดียวกันเสนอขึ้นหลังจากอาจารย์ที่สอนในวิชาสุดท้ายของวันเลิกคลาส
“ก็แล้วแต่ แต่ไปหาอะไรกินก่อน หิว” วันนี้พวกเขาเรียนถึงหกโมงเย็น เพื่อนคนอื่นๆ ก็เห็นด้วย นอกจากจะได้คุยเรื่องงานแล้วยังได้สังสรรค์กันตามประสา มีข้ออ้างกับผู้ปกครองอีก ส่วนปริญนั้นเขาอยากกลับบ้าน ไม่ได้กลับมาสามวันแล้ว วันเผาร่างยายอุ่นก็แค่ไปส่งแกแป๊บๆ ยังไม่ได้คุยอะไรกับบุญรักษาเลย ภาพอีกฝ่ายร้องไห้จนตาปูดตาบวมยังติดตา