“หมอเสียใจด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“หมอเป็นกำลังใจให้คนไข้นะครับ เรื่องแบบนี้มันอาจจะต้องใช้เวลา แต่ถ้าเรายังนอนไม่หลับและรู้สึกเครียดอยู่ อยากให้คนไข้ลองมาเล่าให้คุณหมอฟังนะครับ”
“เอ่อ ค่ะ”
“ถ้าเรายังมีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือมีความเครียดอยู่ นอกจากคุณหมอจะให้คำแนะนำแล้วบางทีเราอาจจะต้องรับประทานยา ตอนภรรยาคุณหมอเสีย หมอก็กินยาคลายเครียดอยู่หลายเดือน” คุณหมอวัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ ทำให้บุญรักษายิ้มจางๆ ให้อีกฝ่าย เธอยังไม่ได้มีความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่ต้องกินยาคลายเครียดเพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่ตอนนี้ฟังคุณหมอพูดแล้วก็รู้สึกค่อยๆ เปิดใจยอมรับ
“หมอเป็นกำลังใจให้คนไข้นะครับ” คุณหมอแตะแขนเธอเบาๆ อีกครั้งก่อนจะขอตัวและให้ปริญไปรับยา แต่ก็เรียกเขาไปคุยเป็นการส่วนตัวก่อน
“ตอนที่คุยกันครั้งแรกคนไข้ดูเครียดๆ เบลอๆ เพิ่งรู้ว่าเธอเพิ่งผ่านการสูญเสียมา อยากให้ช่วยสังเกตและดูแลนะครับ ถ้าเธอยังมีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ วิตกกังวลต่อเนื่องอยากให้พามาหาหมอ อาจจะได้ปรึกษากับจิตแพทย์ หรือได้รับยาเพื่อรักษา บางทีถ้าปล่อยนานไปแล้วเจ้าตัวไม่ดีขึ้น ทำใจไม่ได้ อาจจะไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้”
“ขอบคุณครับ”
“ยังไงวันนี้รับยาแล้วกลับบ้านได้ครับ”
“ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ” ปริญถือใบสั่งยาไปยื่นที่ตะกร้าด้านนอก นั่งรอรับยาให้เธอ ระหว่างที่รอยาคุณแม่เขาก็มาถึงโรงพยาบาลพอดี
“โปรด น้องเป็นยังไงบ้าง”
“เอ็กซเรย์แล้วไม่มีอะไรหักครับแม่ หมอให้รับยาแล้วกลับบ้านได้ นี่โปรดรอรับยาอยู่ แม่เข้าไปดูบุญษาข้างในเลยก็ได้ครับ อยู่เตียงด้านใน เตียงแรกในสุด”
“เหรอ งั้นแม่ไปดูน้องเลย โปรดรับยาให้น้องแล้วกัน” แม่เขาก็ไม่รู้ว่าควรคุยอะไรกับลูกชายตอนนี้ อยากจะเข้าไปเยี่ยมคนเจ็บมากกว่า รีบไปถามเจ้าหน้าที่พออีกฝ่ายบอกให้เข้าไปได้ก็รีบเข้าไปทันที ปริญรอเรียกชื่ออยู่อีกห้านาทีก็ไปจ่ายเงินแล้วรอยาอีกราวๆ สิบนาที พอดีกับที่บุญรักษากับแม่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน บุญรักษานั่งรถเข็นออกมา แม้แผลที่เท้าจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็อาจจะเจ็บอยู่ และโรงพยาบาลก็อำนวยความสะดวกให้เต็มที่ที่สุด
“เดี๋ยวแม่กับน้องรออยู่ตรงนี้ โปรดไปเอารถมารับน้องเถอะ”
“ครับ”
เขาส่งถุงยาที่ตัวเองฟังรายละเอียดจากเภสัชกรจนจำได้ทุกตัวให้แม่ก่อนจะเดินไปเอารถซึ่งก็ยังจอดอยู่ไกลเท่าเดิม แต่ไม่รู้สึกหงุดหงิดเลย ขับมารับเธอที่ตึกฉุกเฉินซึ่งบุญรักษากลับกับเขาสองคน เพราะแม่เขาต้องขับรถตัวเองกลับ
“ขอบคุณคุณโปรดมากๆ นะคะ” เอ่ยขอบคุณด้วยความรู้สึกเกรงใจ เขาต้องมาเสียเวลากับเธอ เจ้าตัวก็ดูเหนื่อยๆ เพลียๆ ด้วย
“อืม วันนี้ก็รีบกินข้าวกินยานอน” ปริญเองก็ไม่มีถ้อยคำที่จะเอ่ยกับเธอได้มากมาย...ถ้าไม่หาเรื่องเธอเขาก็ไม่ค่อยจะมีคำพูดหรอก ตอนนี้ก็ไม่มีความรู้สึกแม้แต่จะหยอกล้ออะไรด้วยซ้ำ
พอกลับมาถึงบ้านปริญก็แยกขึ้นห้อง มีเพียงรุ้งรดาที่มาส่งเธอที่ห้องนอน ให้เธออาบน้ำอาบท่าแล้วลงมากินข้าว ซึ่งทั้งรุ้งรดา ปริญและบุญรักษาก็กินข้าวด้วยกัน
ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารไม่นานนักรุ้งรดาก็บอกให้เธอไปพักผ่อน บุญรักษาที่ทั้งเหนื่อยล้าและถูกฤทธิ์ยากล่อมให้หลับก็ง่วงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่พอจะหลับก็สะดุ้งตื่น ความเจ็บปวดยังทำร้ายหัวใจให้เธอร้องไห้ด้วยความคิดถึงยายสุดหัวใจ และก็เป็นเรื่องยากที่จะบังคับตัวเองให้ทำใจได้
ปล่อยให้ตัวเองร้อง ถ้ามันอยากหยุดตอนไหนหรืออยากหลับตอนไหนก็แล้วแต่เลย
แต่ก่อนที่จะได้หลับเพื่อฝันร้ายและสะดุ้งตื่นประตูห้องก็ถูกเคาะ บุญรักษาเปิดโคมไฟหัวเตียง และเดินไปเปิดประตูด้วยความรู้สึกที่ยังเลื่อนลอย น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาบอบช้ำ
ปริญชะงักไปเหมือนกันกับสภาพของคนตรงหน้า เดาว่าเธออาจจะนอนร้องไห้แต่สภาพจริงย่ำแย่กว่าที่จะจินตนาการถึง เขาดันเธอเข้าไปในห้อง ดึงเข้ามากอดอย่างไม่คิดถึงตรรกะเหตุผล อีกฝ่ายก็ได้โอกาสปล่อยโฮอีกครั้ง
มือดึงประตูปิดตามหลัง แล้วรวบยกคนตัวเล็กไปที่เตียง วางให้เธอนอนบนเตียง มองอย่างชั่งใจครู่หนึ่งก็ขึ้นไปนอนด้วย เตียงขนาดห้าฟุตที่เมื่อก่อนนอนกับยาย แม้ปริญจะตัวใหญ่กว่ายายอุ่นมากแต่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องพื้นที่เลย ซ้ำเขายังกอดเธอแนบชิดอยู่แบบนี้
ไม่มีคำพูดจาใดระหว่างกัน ปริญกอดเธอแนบอก มือลูบผม ลูบหลังอย่างปลอบโยน มันช่วยบรรเทาความเจ็บปวด...หวาดกลัว วิตกกังวลของหัวใจเธอได้อย่างที่เธอเองไม่เคยทำได้ตั้งแต่สูญเสียคุณยายไป
เธอหลับในอ้อมกอดเขา แม้จะยังมีอาการสะอื้นให้รู้สึกแต่ลมหายใจที่ทอดสม่ำเสมอก็ทำให้เขารู้ว่าเธอหลับ ปริญคิดว่าอาจจะอยู่เป็นเพื่อนเธออีกสักหน่อยค่อยกลับห้อง แต่อาการสะดุ้งในบางครั้งก็ทำให้เขาทิ้งเธอไม่ลง ก็เลยนอนกอดเธอจนหลับไปด้วยกัน
แต่ก็รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนตีสี่กว่าๆ ด้วยสำนึกลึกๆ ปริญค่อยๆ ดึงแขนออกจากตัวเธอ แต่อีกฝ่ายก็ผวากอดเขา
“บุญษา ฉันจะกลับห้องแล้วนะ เธอนอนต่อเลย ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” ไม่รู้ว่าคำปลอบนั้นจะได้ผลแค่ไหน ลูบผมเธอจนอีกฝ่ายคลายอ้อมออดให้เขาค่อยๆ ดึงตัวเองจากตัวเธอได้ ปริญลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยืนมองเธอในความมืดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกจากห้อง
ยังไม่มีใครในบ้านตื่นในเวลานี้ หรือหากมีก็คงเป็นคนงานที่ก็ไม่น่าจะเดินผ่านมาทางนี้ ห้องของบุญรักษาก็ไม่ได้อยู่รวมกับคนงานคนอื่นๆ ที่ต่อเติมจากแบบบ้าน...ปริญเลยคิดว่าคงไม่มีใครเห็น หรือหากมีเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องกังวลอะไร ให้บุญรักษานอนร้องไห้คนเดียวไม่ได้หรอก