เฉินหว่านอิ๋งเดินตามบ่าวของเฉินรั่วหลานมาที่เรือนใหญ่ของอีกฝ่าย ซึ่งหากเทียบกับเรือนหลังของนางแล้วนั้น เรือนของเฉินรั่วหลานนับว่าใหญ่โตโออ่ายิ่งนัก เนื่องจากเฉินฮูหยินสั่งให้คนในจวนมาช่วยกันซ่อมแซม และปรับปรุงด้วยทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก จนเรือนหลังนี้ใหญ่โดดเด่นกว่าเรือนอื่นนัก
บ่าวรับใช้ร่างใหญ่ของเฉินรั่วหลานตะโกนรายงานไปยังด้านใน ก่อนจะหลีกทางให้เฉินหว่านอิ๋งเปิดประตูเข้าไปเอง แล้วเดินตามประกบหลังเข้า
ไป
สภาพภายในห้องนั้นนางเห็นคุณหนูใหญ่ของจวนกำลังนอนเอกขเนกบนเตียงนอนหลังใหญ่อย่างสบายใจ มีบ่าวสองถึงสามคนคอยปรนนิบัติราวกับว่าวันพรุ่งนี้จะมีเรื่องที่ดีเกิดขึ้น ส่วนเฉินรั่วหลานนั้นเมื่อรู้ถึงการมาเยือนของคนที่ตนเองต้องการเรียกใช้ หญิงสาวจึงยกยิ้มขึ้นอย่างถือดี และแกว่งปลายเท้าของตนเองสองถึงสามครั้ง
“มาแล้วหรือ? ถ้ามาแล้วก็มาขัดเท้าให้ข้า”
เฉินรั่วหลานกล่าวพลางยกยิ้มอย่างโอหัง นางปรายหางตามองเฉินหว่านอิ๋งอย่างดูแคลน
“เกรงว่าจะไม่สะดวกเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าต้องตื่นแต่เช้ามาทำอาหารให้พวกท่าน” เฉินหว่านอิ๋งปฏิเสธอย่างสุภาพที่สุด สิ่งที่เฉินรั่วหลานกำลังทำอยู่นี้ไม่ต่างจากต้องการกดขี่นางทั้งเป็น การให้ผู้อื่นที่มิใช่บ่าวล้างเท้าให้นั้นนับว่าเป็นการดูถูกดูแคลนอย่างยิ่ง
เฉินรั่วหลานยกขาขึ้นวางเหยียบพื้นทันที นางมองเฉินหว่านอิ๋งด้วยสายตาเยาะเย้ย “แค่คิดว่าท่านพ่อเมตตาเจ้าเป็นบุตรสาว เจ้าก็คิดว่าจากกาจะกลายเป็นหงส์ได้อย่างนั้นหรือ? อย่างเจ้าน่ะก็แค่กาฝากของสกุลเฉินเท่านั้นละ อยู่ที่นี่เจ้าคือบ่าวรับใช้ หากเจ้าไม่อยากให้ท่านพ่อมีปัญหากับท่านแม่แล้วละก็ ทำตามที่ข้าสั่ง!”
“แต่หน้าที่พวกนี้ให้พวกบ่าวคนอื่นทำก็ได้นี่” เฉินหว่านอิ๋งพยายามแย้ง ต่อให้นางจะพยายามทำตนอย่างสงบเสงี่ยมภายในจวนมากเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าเฉินรั่วหลานจะไม่หยุดกลั่นแกล้งนางบ้างเลย นางเองก็ไม่อาจทำให้บิดาต้องมีปัญหากับฮูหยินใหญ่ ทว่าศักดิ์ศรีของตนเองก็ต้องปกป้องเช่นกัน
เฉินรั่วหลานเดินสาวเท้าเข้ามาหาเฉินหว่านอิ๋งเสียงดัง นางขึงตามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง “ที่เจ้าไม่อยากล้างเท้าให้ข้า เพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ชินอ๋องหวังซานเย่จะเสด็จกลับมาพร้อมชัยชนะ เจ้ากลัวว่าข้าจะได้ดีเกินไป เลยไม่อยากทำให้ข้าใช่หรือไม่?!”
“เปล่า” เฉินหว่านอิ๋งตอบเสียงสั่น ภายในแววตาของนางสั่นคลอ ชินอ๋องหวังซานเย่จะกลับมาพร้อมชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ล้วนไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิดเดียว นางกระถดถอยหนีอย่างเชื่องช้า แต่ว่าเฉินรั่วหลานก็ยังไม่หยุดราวีง่ายๆ อีกฝ่ายค่อยๆ เดินไล่ต้อนเฉินหว่านอิ๋งเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าอยู่ในจวนนี้จะมีสิทธิ์มีเสียงอันใด ท่านพ่อข้าเห็นเจ้าเป็นแค่กาฝากต่ำๆ โชคดีเท่าไรแล้วที่สกุลเฉินให้เจ้าใช้แซ่ได้น่ะ หากรู้กันทั่วไปว่าเฉินหว่านอิ๋งเป็นแค่กาฝากต่ำๆ ที่มาอาศัยแซ่เฉิน บรรพชนสกุลเฉินทั้งหมดคงอยู่กันไม่สงบ เพราะมีคนต่ำๆ เช่นเจ้าอยู่ร่วมชายคา” เฉินรั่วหลานยังคงไม่หยุดที่จะผรุสวาทวาจาร้ายกาจนั้นออกมา แต่ละคำล้วนเป็นดั่งน้ำกรดที่สาดลงมาในหัวใจจนเฉินหว่านอิ๋งอยากจะหลีกหนีไปให้พ้น
“หยุดก้าวล่วงท่านพ่อของข้า!” เฉินหว่านอิ๋งรวบรวมความกล้าโต้แย้งกับเฉินรั่วหลาน ตอนนี้นัยน์ตาของสตรีเต็มไปด้วยความโกรธเคืองที่มีต่อสตรีอีกคนตรงหน้า ครั้นต่อว่าเพียงนางนางยังพอทนได้ แต่หากก้าวล่วงต่อบุพการีนางไม่อาจทนได้ อีกทั้งวันนี้เฉินรั่วหลานกับเฉินฮูหยินกดขี่นางมามากพอแล้ว
เฉินรั่วหลานยกยิ้มได้ใจ
“ท่านพ่อของเจ้ารึ? ท่านพ่อข้าน่ะไม่มีกาฝากต่ำๆ อย่างเจ้าหรอก เจ้ามันก็แค่เด็กที่แม่เอามาทิ้งนั่นละ หากเจ้าดีจริงทำไมพ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้าต้องทิ้งเจ้ามาด้วยล่ะ...” ถ้อยคำนี้เฉินหว่านอิ๋งสะอึกจนไม่อาจกล่าวคำใด นางได้แต่เพียงอดทน แม้จะอยากหนีไปจากตรงนี้ก็ไม่อาจทำได้ เพราะแค่เพียงนางหันหลังเตรียมก้าวออกไป บ่าวรับใช้ของเฉินรั่วหลานก็กางมือขวางนางเอาไว้แล้ว
เฉินรั่วหลานเดินอ้อมมาหยุดยืนตรงหน้าเฉินหว่านอิ๋ง สีหน้าของนางยกยิ้มด้วยความสะใจ “รู้อะไรมั้ยว่าทำไมพ่อแม่เจ้าถึงทิ้งกาฝากแบบเจ้าไป...”
“...”
“ก็เพราะเจ้ามันตัวกาลกิณียังไงล่ะ อยู่กับใครก็มีแต่หายนะทั้งนั้น ข้าว่านะพรุ่งนี้วันงานเลี้ยงต้อนรับท่านอ๋องกลับมา เจ้าอย่าได้คิดเผยอเสนอหน้าไปร่วมงานจะดีกว่า เกรงว่าจะกลายเป็นเสนียดอัปมงคลในงาน”
เฉินหว่านอิ๋งสูดลมหายใจทั้งน้ำตา ความเศร้าโศกที่กัดกินหัวใจไม่อาจทนกักเก็บเอาไว้ได้อีก นางปล่อยให้หยดน้ำตาไหลอาบลงสองแก้มนวลอย่างควบคุมไม่อยู่ กลั้นใจกล่าวกับเฉินรั่วหลานยอมล้างเท้าในคืนนี้ให้อีกฝ่ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“หากข้ายอมทำตามที่เจ้าต้องการ เจ้าจะหยุดใช่หรือไม่?”
เฉินรั่วหลานเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง พลางกรีดยิ้มบางๆ ราวกับผู้ชนะ “แน่นอน...ล้างเท้าให้ข้าเร็วๆ สิ ตอนนี้ข้าง่วงแล้ว หากเจ้าทำช้ารู้ใช่หรือไม่ว่าท่านแม่ข้าจะจัดการเจ้าลับหลังท่านพ่อยังไง”
เฉินรั่วหลานนั่งบนเตียงนอนของตนเอง พลางยกเท้าขึ้นมาข้างหนึ่งกวัดแกว่งไปมาด้วยท่าทีพยายามยั่วโทสะ เฉินหว่านอิ๋งรับกะละมังทองเหลืองที่บรรจุน้ำมาครึ่งหนึ่ง บรรจงใช้ผ้าชุบน้ำในกะละมังนั้นค่อยๆ เช็ดเท้าให้กับเฉินรั่วหลานอย่างเบามือ ทว่านั่นยังไม่พอใจสำหรับคุณหนูใหญ่ที่อิจฉาเฉินหว่านอิ๋งมานาน
เฉินรั่วหลานใช้ฝ่าเท้าของตนเองข้างหนึ่งที่ถูกเช็ดทำความสะอาดเสร็จแล้วเหยียบที่หน้าตักของเฉินหว่านอิ๋ง ใช้ปลายเท้านั้นบดขยี้อีกฝ่ายอย่างรุนแรงตามแรงริษยาที่มีในใจ นางเป็นบุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวของเฉินซู่กวง แต่บิดากลับไม่เคยรักนางเลยแม้แต่นิด อีกทั้งยังหวนคิดถึงแต่สตรีอื่นทำให้นางกับมารดาต้องเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เสมอมา ส่วนเฉินหว่านอิ๋งก็เป็นแค่ลูกของคนอื่น ทว่าบิดากลับรักและเอ็นดูเสียยิ่งกว่าอะไร นางเกลียดเฉินหว่านอิ๋ง เกลียดเข้าไส้จนอยากให้ตาย!
หญิงสาวใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝ่าเท้าของเฉินรั่วหลานจนหอมสะอาดทั้งสองข้าง จึงได้รับอนุญาตให้กลับมานอนที่เรือนได้ดังเดิม ระหว่างทางเดินจากเรือนใหญ่ถึงเรือนท้ายจวนนั้นมืดมิดและอันตรายอย่างยิ่ง นางเฝ้ามองดูพระจันทร์กลมโต และหมู่ดาวที่สว่างไสวด้วยหัวใจที่บอบช้ำ วันพรุ่งนี้ชินอ๋องหวังซานเย่จะกลับมาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนางสักนิดเดียว ตั้งแต่เกิดมาเฉินฮูหยินก็ดูแลนางเยี่ยงบ่าวไพร่ ใช้แรงงานนางแทบไม่ได้พัก อีกทั้งยังขับไล่ไสส่งให้ไปอยู่เรือนเดียวกับพวกบ่าวรับใช้ด้านหลัง แต่ทว่าดีตรงที่เรือนหลังนั้นยังพอเป็นสถานที่เดียวในจวนที่นางจะอยู่ได้อย่างสบายใจ
นางสามารถขบคิดเรื่องราวบางอย่างได้เพียงคนเดียวโดยที่ไม่ต้องมีใครมารบกวนใจ ครั้นบิดาจะให้นางไปอยู่อีกเรือนที่ไม่ไกลจากเรือนใหญ่มาก แต่สุดท้ายนางก็ปฏิเสธ เพราะหากอยู่ตรงนั้นนางคงไม่แคล้วถูกเฉินรั่วหลานหาเรื่องทุกวัน อย่างน้อยการที่นางได้อยู่ท้ายจวนคงเป็นความสุขสุดท้ายที่นางหาได้
ในยามที่ทุกคนต่างเข้านอนกันหมดแล้ว แต่ว่าเฉินรั่วหลานกลับยังไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ หลังจากที่ได้กลั่นแกล้งเฉินหว่านอิ๋งจนสาแก่ใจ นางก็ถูกมารดาที่ลอบฟังทุกการสนทนาต่อว่าเข้าไปหนึ่งที เพราะสิ่งที่นางกระทำอยู่อาจทำให้บิดาของนางไม่เสนอชื่อเข้าร่วมคัดเลือกพระชายาของชินอ๋อง
ใช่แล้ว! เมื่อไม่กี่วันก่อนที่หวังชินอ๋องได้รับชัยชนะเหนือแคว้นเสวี่ย
ฮ่องเต้ทรงอภิเษกสมรสกับฮองเฮาพระองค์ใหม่ ไท่เฟยซึ่งเป็นพระราชมารดาของหวังชินอ๋องก็ทรงหมายพระทัยอยากจัดการคัดเลือกพระชายาเอกให้กับบุตรชายทันที โดยมีบุตรสาวจากตระกูลเสนาบดีจำนวนมากถูกส่งรายชื่อเข้าเลือกตำแหน่งพระชายาเอก หนึ่งในนั้นคือสตรีสกุลเกา ‘เกาอี้ เหริน’ ซึ่งพี่สาวของนางในยามนี้ดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟย แห่งราชสำนักฝ่ายใน แม้แต่สกุลเฉินเองก็ต้องส่งบุตรีเข้าร่วมคัดเลือกตำแหน่งพระชายาเอกด้วยเช่นกัน ซึ่งเฉินรั่วหลานก็คิดอย่างลำพองใจว่าท่านพ่อจะต้องส่งชื่อนางเข้าร่วมคัดเลือกด้วยแน่นอน
“การที่เจ้าทำเช่นนี้ หากพวกบ่าวไพร่นำไปพูดต่อท่านพ่อของเจ้า คิดหรือว่าจะได้เป็นพระชายาเอกชินอ๋องน่ะ!” เฉินฮูหยินตวาดใส่บุตรสาว นางอุตส่าห์เตรียมพร้อมให้บุตรสาวได้เข้าถวายตัวเป็นพระชายา แต่ทุกอย่างอาจจะพังไม่เป็นท่าเพราะการกระทำเมื่อสักครู่
“ท่านแม่ อย่างไรเสียทางการก็ต้องสืบประวัติของผู้ที่จะมาเป็นพระชายา นังกาฝากนั่นน่ะไม่มีคุณสมบัติตั้งแต่แรกแล้ว ใครจะเอาสตรีที่มีประวัติคลุมเครือมาเป็นพระชายากันเล่าเจ้าคะ ดีไม่ดีพ่อแม่นังกาฝากนั่นน่ะอาจจะเป็นนักโทษหลบหนีก็ได้” เฉินรั่วหลานกล่าวอย่างลำพองใจ แต่เฉินฮูหยินไม่คิดเช่นนั้น
“เจ้าอย่าประเมินพ่อเจ้าต่ำเกินไป เขาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เขามีสิทธิ์เสนอชื่อเฉินหว่านอิ๋งได้เช่นกัน เจ้าอย่าลำพองตัวไป อีกอย่างเจ้าก็ยังมีคู่แข่งอย่างเกาอี้เหริน แค่คุณสมบัติเจ้าก็แพ้นางราบคาบแล้ว!”
ใช่ว่าเฉินรั่วหลานจะไม่น้อยใจในคำพูดของมารดา สิ่งที่เฉินฮูหยินพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ทั้งหลักคุณธรรมสี่จรรยา หรือแม้แต่ศาสตร์แต่ละแขนงที่คุณหนูจากแต่ละตระกูลสูงร่ำเรียนกันจนแตกฉาน มีเพียงเฉินรั่วหลานเท่านั้นที่ไม่สามารถร่ำเรียนได้ ทั้งการบ้านการเรือน หลักการปรนนิบัติเอาใจสามี ศาสตร์และศิลป์นางล้วนแพ้พ่ายจนหมดสิ้น หากนางกับเกาอี้เหรินถูกส่งคัดเลือกตำแหน่งพระชายา คงไม่พ้นตนเองที่แพ้ราบคาบตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม
แต่มีหรือที่คนอย่างเฉินรั่วหลานจะยอมแพ้ แพ้เกาอี้เหรินยังพอทำเนา แต่หากแพ้เพราะมีชื่อเฉินหว่านอิ๋งเข้าร่วมคัดเลือกพระชายาอ๋องด้วย นางยิ่งไม่มีทางยอมเด็ดขาด! เฉินหว่านอิ๋งมีความงดงามเป็นหนึ่งเรื่องนี้ทุกคนย่อมทราบดี แต่ว่าสถานะคุณหนูในจวนที่ไม่มั่นคงทำให้ไม่มีคุณชายตระกูลใดกล้าเข้ามาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ด้วยต่างหาก
“แล้วท่านแม่จะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ พรุ่งนี้ชินอ๋องก็จะเสด็จกลับมาแล้ว หากท่านพ่อให้นังนั่นไปกับพวกเราด้วย เกิดนางถูกตาต้องใจไท่เฟยขึ้นมา พวกเราจะไม่แย่เอาหรือเจ้าคะ” เฉินรั่วหลานกุมหมอนหนุนของตนด้วยความกังวล เนื่องจากวันพรุ่งนี้ไท่เฟยซึ่งเป็นพระราชมารดาแท้ๆ ของหวังชินอ๋องจะเสด็จมาต้อนรับบุตรชายด้วยตนเองอีกทั้ง หากทรงถือโอกาสนี้มองสตรีที่จะเป็นพระชายา เช่นนั้นแล้วตำแหน่งพระชายาที่นางหมายปองเล่า นางคงไม่มีวันได้ครอบครองตำแหน่งนั้นแน่
“หวังชินอ๋องเป็นอ๋องผู้ครองทักษิณทิศ กำลังทหารในมือนับว่ามีเรือนหมื่น หากไม่นับรวมทหารจากวังหลวงของฝ่าบาท ลำพังแค่ความสามารถของเขานับว่ายึดครองแคว้นเยี่ยนทั้งหมดเลยก็ได้ หากเจ้าได้เป็นพระชายารองของเขา และในอนาคตหากหวังชินอ๋องผู้นี้ได้ขึ้นครองราชย์
ตำแหน่งที่ดีที่สุดของเจ้าในตอนนั้นก็คือกุ้ยเฟย[1]” เฉินฮูหยินคาดการณ์เอาไว้
ล่วงหน้าตามแผนการที่ตนวางเอาไว้ นางต้องการให้บุตรสาวเป็นใหญ่เหนือสตรีใดในอนาคต บุรุษที่เฉินรั่วหลานควรแต่งงานด้วยมีเพียงหวังชินอ๋องหรือฝ่าบาทองค์ปัจจุบันเท่านั้น
“แต่หากเฉินหว่านอิ๋งไปด้วยทุกอย่างก็ต้องพังแน่นอนนะเจ้าคะ ถึงตอนนั้นเล่าเราจะทำอย่างไรดี” เฉินรั่วหลานวิตกกังวลยิ่ง
เฉินฮูหยินนั่งตบไหล่บุตรสาวเบาๆ “พรุ่งนี้แม่จะไม่ให้นางไป”
“แต่ถ้าท่านพ่อ...ท่านพ่ออนุญาตขึ้นมาเล่าเจ้าคะ”
เฉินฮูหยินลูบใบหน้าบุตรสาวอย่างอบอุ่น “เจ้าเชื่อแม่เถิด ต่อให้พ่อเจ้าจะแสดงออกว่ารักเฉินหว่านอิ๋งมากแค่ไหน แต่เลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ”
หลังจากที่ปราบกบฏแคว้นเสวี่ยได้สำเร็จแล้ว หวังซานเย่ให้รองแม่ทัพจัดทหารจำนวนหนึ่งคอยดูแลที่นี่ และคอยดูแลพวกราษฎรจากแคว้นเสวี่ยซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามทั้งสองแคว้น หวังซานเย่ตั้งใจว่าจะรีบขี่ม้าเดินทางกลับเมืองหลวง เพราะนี่ร่วมสามเดือนกว่าแล้วที่เขามาปักหลักกองทัพอยู่ที่แคว้นเสวี่ยทำการศึกเป็นเวลานาน ต้องห่างหายจากพระมารดาไป
“ให้รองแม่ทัพถังลู่หลินจัดทหารจำนวนหนึ่งดูแลที่นี่ให้เรียบร้อย ข้ากับทหารอีกส่วนจะเดินทางกลับวังหลวง หากมีเรื่องด่วนอะไรก็ให้ม้าเร็วไปส่งข่าวที่จวนอ๋องของข้า ย่ะ...” หลังจากสั่งการเสร็จ หวังซานเย่ก็เร่งควบอาชากลับวังหลวงแคว้นเยี่ยนโดยทันที เดิมทีการเดินทางจากแคว้นเสวี่ยมาแคว้นเยี่ยนใช้เวลานานเกือบหลายวัน แต่ว่าสำหรับชินอ๋องแม่ทัพแห่งทิศทักษิณ เรื่องเส้นทางและการเดินทางไม่ใช่อุปสรรคเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มควบอาชาลัดเลาะมาตามเส้นทางลัดต่างๆ จนกระทั่งเกือบเข้าถึงชายแดนแคว้นเยี่ยน
“หยุด..!” อ๋องหนุ่มสั่งหยุดม้ากะทันหัน เขาโยกมือเบาๆ ห้ามรองแม่ทัพอีกคนที่ติดตามตนเองมา “รองแม่ทัพฉู่ คืนนี้พวกเราจะไม่เข้าเมืองหลวง แต่จะพักม้าและนอนค้างที่นี่”
“แต่ท่านอ๋อง ที่แห่งนี้ค่อนข้างกันดารนัก ความสะดวกสบายหาได้มีไม่ กระหม่อมว่าพระองค์เสด็จหาที่พักในโรงเตี๊ยมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพฉู่แย้ง สถานที่ที่กันดารและแห้งแล้งเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับฐานะชินอ๋องผู้สูงศักดิ์เลยสักนิด แต่ว่าหวังซานเย่หาได้สนใจไม่ เขายกมือปรามสิ่งที่รองแม่ทัพหนุ่มกำลังจะเอ่ยต่อ
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเกียรติของข้า แต่นักรบเช่นข้านอนกลางดินกินกลางทรายถือเป็นเรื่องปกติ” หวังซานเย่ตอบน้ำเสียงแข็ง เนื่องจากการเข้าพักในโรงเตี๊ยมแต่ละแห่งล้วนใช้เงินจำนวนมาก และยังเป็นเงินท้องพระคลังอีกด้วย ชายหนุ่มไม่ต้องการเบียดเงินส่วนนั้นที่ควรบำรุงกองทัพมาใช้ เขาจึงตัดสินใจปักหลักพักกลางดินกินกลางทรายโดยไม่รังเกียจแต่อย่างใด อีกทั้งเขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ย่อมต้องทำตนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถเข้าใกล้ได้โดยไม่หวาดกลัว
“รองแม่ทัพฉู่ ให้ทหารพักที่นี่นั่นละ เดินทางเข้าเมืองหลวงช้าสักหน่อยฝ่าบาทคงไม่คิดว่าข้าวางแผนกบฏหรอกกระมัง” หวังซานเย่กล่าวอย่างไม่สนใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเหล่าขุนนางหูเบาก็หาทางเพ็ดทูลต่อพี่ชายต่างมารดาเรื่องของเขาอยู่เสมอ ทำให้ฮ่องเต้ผู้ลุ่มหลงในสุรานารี และยังขลาดเขลาหลงเชื่อจนต้องส่งเขาไปปราบกบฏแคว้นเสวี่ย หมายจะยืมมือพวกแคว้นเสวี่ยสังหารเขา แต่ว่าโชคดีนักที่เขาดวงชะตาแข็งพอจึงรอดมาได้ และยึดแคว้นเสวี่ยที่คิดกบฏกลับคืนมา
ฉู่หานจิ้งซึ่งเป็นรองแม่ทัพอีกคนที่คอยติดตามรับใช้หวังชินอ๋องไม่ห่าง บัดนี้กำลังนำม้าของผู้เป็นนายไปผูกยังต้นไม้ใหญ่ และสั่งการให้ทหารบางส่วนสุมฟืนขึ้นมาเพื่อให้ความอบอุ่น กองฟืนกองใหญ่ถูกจุดติดขึ้นเป็นเพลิงลุกโชนให้ความอบอุ่นในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ การกลับมาที่แคว้นเยี่ยน ในคราวนี้ของเขานับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี หลังจากที่เฝ้ารักษาการณ์ชายแดนทางใต้แทนหวังชินอ๋องมาเนิ่นนาน
รองแม่ทัพหนุ่มกำลังย่างปลาบนกองไฟที่ถูกสุมขึ้นมา เขาเติมฟืนลงไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้กองไฟลุกโชนให้ความสว่างรอบทิศ
หวังชินอ๋องหย่อนกายนั่งลงข้างๆ อย่างไม่ถือสาในฐานะของตน “หลังจากคืนนี้ผ่านพ้นไป สถานการณ์ที่วังหลวงอาจไม่เหมือนเดิม ฝ่าบาททรงหูเบาเชื่อฟังเกากุ้ยเฟยมากกว่าผู้ใด หลังจากนี้ให้เจ้าสั่งการลงไปอย่างลับๆ ถึงคนของเราที่ประจำการอยู่ทางใต้ จัดเตรียมกองทหารเอาไว้ให้พร้อมทุกเมื่อ...”
“ท่านอ๋องทรงกังวลว่าฝ่าบาทจะลอบสังหารพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่หานจิ้งถามแม้จะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็ตาม
“ฝ่าบาททรงโปรดปรานเการั่วซีเป็นที่สุด บิดาของนางเกาเจียฉี่ย่อมได้รับยศอำนาจที่สูงขึ้นจนแสดงอำนาจข่มตนเหนือผู้อื่น ข้าเกรงว่าสักวันราชบัลลังก์อาจจะไม่ปลอดภัย” นี่คือสิ่งที่หวังซานเย่กังวลที่สุด เนื่องจากเการั่วซีเป็นสนมเอกที่หวังลู่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด นางเอื้อนเอ่ยเพียงครึ่งคำก็ทรงเชื่อนางจนหมดใจ
“หากเป็นในความคิดกระหม่อม เมื่อไม่นานมานี้ไทเฮาทรงทาบทามองค์หญิงจากแคว้นเหลียวให้เป็นฮองเฮา พิธีอภิเษกเพิ่งมีขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ฝ่าบาทอาจจะทรงโปรดปรานเกากุ้ยเฟยน้อยลง” ฉู่หานจิ้งคาดเดาไปต่างๆ นานา ทว่าสุดท้ายแล้วเรื่องทุกอย่างนั้นก็ไม่มีใครล้วนคาดเดาได้ถูกต้อง
“เสด็จแม่กับเหยียนเจี๋ยอยู่ในวัง ยากจะคาดเดา” เสด็จแม่ของหวังชินอ๋องก็คือหลินไท่เฟย[2] และน้องสาวร่วมสายโลหิตอย่างองค์หญิงหวังเหยียนเจี๋ย สายพระเนตรของชินอ๋องหนุ่มไหววูบลงยามนึกถึงอันตรายที่อยู่รายรอบวังหลวง
“ถ้าเช่นนั้นให้กระหม่อมลอบจัดทหารถวายอารักขาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่หานจิ้งเสนอ
หวังชินอ๋องโบกมือปัด “อย่าเลย พรุ่งนี้ไปถึงคาดว่าเสด็จแม่คงจัดงานเล็กๆ ในตำหนักฝ่ายในคงมีพวกคุณหนูสกุลขุนนางมากมายที่มาเข้าเฝ้า อีกไม่นานข้าเองก็จะได้เจอกับอี้เหรินแล้ว”
เกาอี้เหรินที่หวังซานเย่กล่าวถึงคือบุตรสาวคนเล็กของเกาเจียฉี่ ที่พระมารดาเคยหมายมั่นเอาไว้ให้เขาตั้งแต่ยังเยาว์วัย สตรีผู้งดงามดุจจันทร์เดือนเพ็ญบัดนี้คงถึงวัยที่ต้องใกล้ออกเรือนกับเขาแล้ว ต่อให้นางจะเป็นจะบุตรสาวของเกาเจียฉี่ หรือเป็นน้องสาวของเการั่วซี แต่หากเขาสามารถดึงอำนาจสกุลเกามาได้ทั้งหมด ฝ่าบาทคงอยู่ไม่สุขบนบัลลังก์สีทองนั่นแน่
[1] เป็นชื่อ 1 ใน 4 ตำแหน่งพระชายาชั้นเอก กุ้ยเฟย (พระอัครเทวี) , ซูเฟย (พระราชเทวี) , เต๋อเฟย (พระอัครชายา) ,เสียนเฟย (พระราชชายา)
[2] ไท่เฟย คืออดีตพระสนมเอกในจักรพรรดิพระองค์ก่อน เป็นรองเพียงไทเฮา