“อยากกลับไปหาเพื่อนรักใจแทบขาดเลยสินะ ถึงว่า…”
พิมพ์ชนกหยุดเดินหันมองเขาที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงทำหน้าตายียวนใส่
“ถึงว่าอะไรคะ”
“บรรยกาศท้องทะเลยามค่ำคืน แสงดาวสลัวๆ หญิงสาวกับชายหนุ่มที่มีใจให้กัน มองสบตากันท่ามกลางสายลมพัดผ่าน หึๆ แผนสูงใช้ได้”
เขาหัวเราะขมขื่น รู้สึกเดือดดาลกับภาพที่สร้างขึ้นในหัว ร่างบอบบางอยู่ในอ้อมกอดของศรุต ทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างหวานซึ้ง เกียร์จิกเล็บลงบนฝ่ามือ นัยน์ตาสีเหล็กกล้าวาวโรจน์
“แต่ฝันไปเถอะพิมพ์ชนก ตราบใดที่ฉันยังอยู่ ฉันไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับเธอเด็ดขาด!” พูดจบเขาก็เดินกระแทกเท้าขึ้นรถประจำทางด้วยอารมณ์ร้อนรุ่ม
“คนบ้า! มโนเก่ง พูดเป็นตุเป็นตะ ฉันกับรุตไม่ได้คิดทุเรศๆ แบบนั้นสักหน่อย”
พิมพ์ชนกกัดปากล่างระบายความหงุดหงิด หล่อนขึ้นไปนั่งบนรถฝั่งตรงข้ามกับเขา สายตาดุดันของเกียร์ลอบมองเธอเป็นระยะๆ จนกระทั่งถึงที่พัก และยิ่งมองหนักขึ้นเมื่อพิมพ์ชนกอยู่ใกล้ศรุต ดูเหมือนคำขู่ของเขาจะไม่ได้ผล แม่นกน้อยหน้าหวานยังคงเมินเฉยและหันไปหยอกล้อกับชายอื่นอย่างสนุกสนาน ทำราวกับเขาไร้ตัวตนในสายตา เกียร์กระดกบรั่นดีดื่มเพียวๆ หลายแก้วติด ใบหน้าคมเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ กรีนน่าเห็นท่าทางคล้ายจะเมามายของน้องชายก็เริ่มหวั่นใจ ยิ่งหางตาเกรี้ยวกราดมองพิมพ์ชนกกับศรุตเหมือนต้องการฉีกร่างของทั้งคู่ออกเป็นชิ้นๆ คนเป็นพี่ก็ยิ่งลำบากใจ ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันเป็นแบบนี้นี่เอง กรีนน่าได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดกับตัวเองเบาๆ
“อย่าเผลอทำอะไรบ้าๆ เด็ดขาดเชียวนะเกียร์”
“เป็นอะไรหรือเปล่ายิหวา ทำหน้าเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง”
ศรุตถามอย่างเป็นห่วง พิมพ์ชนกดูกระวนกระวายแปลกๆ คุยกับเขาแต่สายตาหวาดระแวงเหมือนกลัวใครจะเห็น
“เปล่า แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”
พิมพ์ชนกส่งยิ้มบางเบา ยังคงตักอาหารใส่จานบริการผู้ร่วมทริปอย่างขะมักเขม้น ศรุตจ้องมองคนปากแข็ง เขารู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พิมพ์ชนกดูเกร็งๆ เวลาอยู่ใกล้เขา ชายหนุ่มมองตรงไปยังร่างสูงสง่าของเกียร์ หนุ่มใหญ่ยืนกอดอกพิงกำแพงหินอ่อนห่างออกไปจากจุดตั้งแคมป์ไม่ไกลนัก ในมือถือแก้วบรั่นดีกระดกดื่มไม่ยั้ง ศรุตเห็นขวดบรั่นดีหลายขวดเกลื่อนกลาดข้างๆ เขา บ่งบอกว่าเกียร์ดื่มไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไงจ๊ะเด็กๆ อยู่หน้าเตาจนหน้าดำหน้าแดงหมดแล้วมั้งเนี่ย” กรีนน่าเดินมาทักทาย นัยน์ตาชวนฝันหยาดเยิ้มฤทธิ์แอลกอฮอล์
“คุณกรีนพอเถอะค่ะ” พิมพ์ชนกจับมือกรีนน่าไว้ ไม่อยากให้อีกฝ่ายดื่มต่อ “คุณกรีนเมามากแล้วนะคะ”
บอกออกไปด้วยความเป็นห่วง หล่อนรู้ว่าดีกรีของเหล้าไม่อาจทำอะไรอดีตสาวปาร์ตี้ตัวยงอย่างกรีนน่าได้ แต่ร่างกายที่เริ่มโรยราเพราะปัญหาสุขภาพรุมเร้า ก็ทำให้พิมพ์ชนกอดเป็นห่วงไม่ได้
“อะไรกันยิหวา มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องดื่มสิ”
กรีนน่าชูแก้วเหล้าขึ้น เชิญชวนให้หนุ่มสาวต่างวัยดื่มร่วมกัน พิมพ์ชนกจำต้องหยิบแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบพอเป็นมารยาท ศรุตเห็นกรีนน่าดื่มทีเดียวหมดแก้วก็เริ่มหวั่นๆ
“ยิหวา ฉันว่าผู้ปกครองเธอเมาแล้วนะ พาเขาไปนอนเถอะ”
ศรุตกระซิบบอก ภาพที่เห็นพาให้เกียร์เข้าใจผิด คิดว่าศรุตหอมแก้มคนตัวเล็ก มือแกร่งทุบกำแพงหินสุดแรง กัดสันกรามด้วยใบหน้าดุดัน
“อืม งั้นเราก็พอกันแค่นี้เถอะเนอะ อาหารพวกนี้เดี๋ยวแช่ตู้เย็นไว้ พรุ่งนี้ทำกินได้ต่อ” พิมพ์ชนกปรายตามองกุ้งหอยปูปลาที่เหลือเยอะพอสมควร
“ให้น้องชายเขาไปส่งก็ได้ เธอกับฉันจะได้ช่วยกันเก็บของ”
ศรุตพยักเพยิดไปทางเกียร์ พิมพ์ชนกยืนชั่งใจชั่วครู่ รู้สึกไม่ค่อยอยากเข้าใกล้อีกฝ่ายเท่าไร
ถ้าบอกว่ากรีนน่าเมาแล้ว เกียร์ก็ดูท่าจะเมาหนักกว่า!
“ก็ดีเหมือนกัน” บางทีการไม่มีเขายืนอยู่ตรงนี้อาจช่วยให้เธอสบายเนื้อสบายตัวมากขึ้น บอกตามตรงว่าเกร็งกับสายตาดุดันคู่นั้นจนแทบก้าวขาไม่ออกอยู่แล้ว
คนอะไรดุชะมัด!
“คุณเกียร์คะ” พิมพ์ชนกกล้าๆ กลัวๆ เกียร์ที่ก้มหน้ามองผืนทรายขาวละเอียดค่อยๆ เงยหน้าสบตากับร่างบาง
“ว่า?” เขาเอ่ยนิ่งๆ แต่น้ำเสียงทรงอำนาจกลับทำให้เขาดูน่าเกรงขามเหลือเกิน
“คือว่าคุณกรีนเมาแล้ว คุณช่วยพาเธอไปนอนพักได้ไหมคะ”
พิมพ์ชนกขยับตัวให้เกียร์มองไปยังกรีนน่า พี่สาวสุดที่รักฟุบหลับคาโต๊ะในสภาพเมามายไม่ได้สติ เขาส่ายหัวเล็กน้อย
“พี่นะพี่” เกียร์เดินไปยังจุดที่ไฟสว่างโร่ เขาชำเลืองมองศรุตแวบหนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีหัวใจของชายหนุ่มหล่นร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง น้ำลายเหนียวหนืดกลืนไม่ลงคอ
เกียร์ตวัดร่างของกรีนน่าอุ้มแนบอก เขาทำเหมือนกำลังอุ้มตุ๊กตาไร้น้ำหนัก ความแข็งแกร่งดุจหินผาคือสิ่งที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน ศรุตแอบอิจฉาอยู่ลึกๆ
“เก็บของกันเถอะ”
พิมพ์ชนกโล่งอกเมื่อคนน่ากลัวไปจากตรงนี้ได้เสียที หญิงสาวหันมายิ้มให้เพื่อนชายแล้วรีบช่วยกันเก็บสัมภาระจนเสร็จเรียบร้อย แต่จังหวะที่พิมพ์ชนกกำลังหมุนตัวจะเดินเข้าที่พัก หล่อนไม่ทันระวังเป็นเหตุให้สะดุดก้อนหินจนเกือบล้ม ศรุตอาศัยความว่องไวรับร่างอรชรไว้ในอ้อมแขนได้ทันการ สายตาตื่นๆ ของทั้งคู่สบประสานมองกันด้วยความบังเอิญ
“เป็นอะไรไหมยิหวา” ศรุตประคองร่างน้อยให้ทรงตัวยืนแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นไร ดีที่รับทันไม่งั้นหัวแตกไปแล้ว” เจ้าหล่อนยิ้มหวาน ศรุตเป่าปากโล่งอก
“นั่นน่ะสิ เกือบมีเพื่อนพิการแล้วไหมล่ะ” ศรุตหัวเราะ พิมพ์ชนกเลยตีแขนเขาแก้เขิน
“บ้า” ทั้งสองหัวเราะซึ่งกันและกัน หารู้ไม่ว่าภาพความใกล้ชิดที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด ตกอยู่ในสายตาของเกียร์ตลอดเวลา
“ยิหวา… เห็นทีฉันคงปล่อยเธอไว้ไม่ได้แล้ว!”