“เจ้าเดินนำไปสิ”
คำบอกนั้นมิได้ทำให้อาซิงแปลกใจ นั่นเพราะคิดว่าคุณหนูของนางคงจำสิ่งใดไม่ได้อีกหลายอย่างและเป็นนางที่ต้องช่วย “เจ้าค่ะ” สาวใช้รู้งานและมักจะเข้ามานั่งรอคุณหนูร่ำเรียนเขียนอ่านที่นี่เมื่อหนึ่งปีก่อน เดินตามเส้นทางไปอย่างคล่องแคล่ว ผ่านหลายคนที่เป็นสาวใช้ด้วยกันพยักหน้าทักทาย หลายคนเป็นสหายของคุณหนูพยายามจะเข้ามาหา แต่นางเห็นท่าทางอันเฉยชาของคุณหนู นางจึงมิได้แวะทักผู้ใด จนทั้งคู่เดินไปถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่งที่ติดป้ายบอกเอาไว้ว่า สนามสอบของสตรี เพื่อจบการศึกษา “ถึงแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
ลานกว้างภายใต้ศาลาใหญ่เต็มไปด้วยที่นั่งเรียงรายละลานตาเป็นแถวยาว ลี่เหม่ยหลินมองบนแผ่นป้ายที่นางอ่านได้ว่า สนามสอบ ก็ให้สบายใจ ‘ดีเท่าไหร่ที่นางยังคงอ่านเขียนภาษาจีนรู้เรื่อง’ ต้องขอบคุณเจ้าของร่างเดิมที่ละทิ้งความสามารถอันนี้เอาไว้ให้นางและนางจะใช้ชีวิตนี้ให้ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด “เวลาเท่าใดแล้ว” ยกเว้นเรื่องนี้ที่นางไม่เข้าใจ พวกเขาดูเวลากันที่ตรงไหน นางเห็นอาซิงเงยหน้ามองฟ้าแล้วบอกนางว่า
“ปลายยามเฉินเจ้าค่ะ อีกประมาณครึ่งเค่อ (เจ็ดนาที) คงถึงเวลาสอบแล้ว คุณหนูไปนั่งรอก่อนนะเจ้าคะ” ผายมือไปทางม้านั่งที่เรียงอยู่ด้านข้างสนามสอบเกือบห้าตัวและยังมีอีกสองตัวที่ว่างอยู่ ก่อนทั้งนายทั้งบ่าวจะนั่งคู่กันเพื่อรอเวลา
แค่เพียงอึดใจคนคุมสอบหลายช่วงวัยมากกว่าสิบคนต่างพากันเดินเข้าไปนั่งยังจุดตรวจรายชื่อ เสียงประกาศจากบุรุษสูงวัยผู้หนึ่งดังก้องหน้าศาลา “ผู้เข้าสอบทุกคน มาลงรายชื่อด้านหน้า” ชี้ไปด้านซ้าย “ของสตรีมาลงที่อาจารย์เจียวมิ่ง” ชี้ไปฝั่งขวา “ของบุรษมาลงชื่อที่อาจารย์ฮุ่ยหมิ่น” การลงชื่อทางฝั่งของบุรุษนั้นย่อมมีมากกว่าเพราะเป็นการสอบแบบคละ แต่ทางฝั่งสตรีจะมีเพียงเจ็ดสิบกว่าคนเท่านั้นเนื่องจากเป็นการสอบเพื่อจบการศึกษา ในสายตาของหัวหน้าผู้คุมการสอบ เขามองเห็นบุตรสาวของท่านทูตจากแคว้นฉินที่เคยได้ข่าวว่าหมดสติไปหลายวัน ข่าวลือว่านางอาจจะสิ้นลมคงมิเป็นความจริงเมื่อเจ้าของข่าวนั้นยังเดินเหินได้เป็นปกติ “คุณหนูลี่”
ผู้เป็นเจ้าของนามคาราวะตามธรรมเนียมอย่างมีมารยาท “ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะท่านอาจารย์” นางละไว้ซึ่งนามของท่านอาจารย์อาวุโสตรงหน้า ‘ที่นางไม่รู้จัก’ นั่นคือเรื่องจริง ในหัวสมองของนางเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมามันคือภาพที่เจ้าของร่างกล่าวว่า รบกวนเจ้าแล้ว และฉากที่นางหมดสติไปเท่านั้น เรื่องเกี่ยวกับผู้คนหรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ล้วนเป็นนางที่อาศัยแอบจดจำเอาเองทั้งหมด ผ่านมาได้เพียงสองอาทิตย์และเพิ่งได้ออกมาเจอโลกกว้างในยุคโบราณ นางจะนึกอะไรออกได้
“สบายดีแล้วใช่หรือไม่”
พยักหน้า “สบายดีเจ้าค่ะ หลังจากวันนั้นที่ข้าหมดสติไป มาจนถึงวันนี้ สำนักศึกษามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เจ้าคะ” ^^
อาจารย์วัยกลางคนนามเหว่ยหูหรี่ตามองสตรีรุ่นเยาว์ตรงหน้าที่มีวัยเกือบสิบห้าหนาวคล้ายไม่เคยเห็น แต่เดิมนั้นคุณหนูสกุลลี่เป็นสตรีที่สำรวมกิริยา ไม่ชอบเอ่ยหยอกเย้ากับผู้ใดเพราะนางเป็นสตรีต่างแคว้นเพียงคนเดียวในสถานศึกษาแห่งนี้ จะกล่าวว่านางไว้ตัวและมีสหายน้อยก็คงไม่ผิดนัก ยิ่งกับอาจารย์ทุกคนรึ นางก็ยิ่งมิเคยต่อปากต่อคำเช่นนี้เลย “สิ่งใดจะเปลี่ยน หากมิใช่เจ้า คุณหนูลี่”
ลี่เหม่ยหลินก้มหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขอตัวไปต่อแถวเพื่อลงชื่อ ความเปลี่ยนแปลงของนาง คงมีเพียงนางที่รู้อยู่แก่ใจและมันจะเป็นความลับไปจนกว่านางจะตายจากร่างนี้ หากถามว่าเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น นั่นเพราะถึงแม้นางอยากจะออกจากร่าง ก็ไม่สามารถกระทำได้น่ะสิ!
การลงชื่อเป็นไปอย่างรวดเร็ว พอๆ กับการเดินไปยังจุดที่ผู้คุมบอก ในขณะที่นางกำลังเดินต่อแถวไปนั่ง นางเพิ่งสังเกตได้ว่าฝั่งบุรุษนั้นอยู่ตรงกันข้ามกับฝั่งสตรี (หันหน้าชนกัน) จากการคาดคะเนคนทางฝั่งนั้นมีมากกว่าสองร้อยคน แต่ละคนใบหน้าหล่อเหลา คมคาย ไม่ต่างจากฝั่งสตรีที่เป็นคุณหนูในห้องหอที่อายุพอๆ กันกับนาง ในหัวคิดไปถึงการเรียนจบจากที่นี่และพร้อมออกเรือน นั่นหมายความว่าจะมีสตรีวัยปักปิ่นจบออกไปอีกนับร้อย!
“นี่”
‘หืม?’ เสียงเรียกจากสตรีที่ยืนต่อแถวทางด้านหลัง ทำให้ลี่เหม่ยหลินต้องหันไปหา และก็ยังคงเป็นเช่นเดิมที่นางไม่รู้จักคุณหนูผู้นี้เลย คำถามที่ออกจากปากจึงถามเพื่อย้ำ “เจ้าเรียกข้ารึ”
“ใช่น่ะสิ เจ้าจำข้ามิได้รึ” ทำหน้างงปนโมโห
“อา...หากเจ้ารู้ข่าวเรื่องที่ข้าหมดสติไปในหลายวันก่อนหน้านี้ แล้วคิดสักนิดก็คงจะรู้ได้ไม่ยากว่าข้าทานยามากมายจนหลงๆ ลืมๆ รบกวนเอ่ยนามของเจ้าให้ข้ารู้อีกครั้งเถิด” การกล่าวเช่นนี้มิได้ต่อว่า ว่าอีกฝ่ายถามไม่คิด ในทางกลับกันนางให้เหตุผลกับอีกฝ่ายว่าเหตุใดนางจึงลืม
ผู้ฟังชักสีหน้าเล็กน้อยคล้ายไม่แน่ใจว่าสตรีตรงหน้าเสแสร้งแกล้งทำหรือจำนางไม่ได้จริงๆ แต่ถึงกระนั้นเมื่อฟังข้ออ้างแล้วคิดให้ดีๆ เรื่องราวไม่กี่วันก่อนนั้นก็เป็นดังที่อีกฝ่ายว่า นางทำท่าเรียบเฉยแสดงออกว่าตนถูกสอนมาเพื่อเป็นคุณหนูและเอ่ยตอบกลับไป “ข้า ว่านเจียอี” หากแต่ก่อนมิเคยสนทนา ยามนี้ก็คงไม่เข้ามาทักเป็นแน่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องสำคัญ “นี่” แอบกระซิบกระซาบ “วันนี้ท่านอาจารย์อู๋เทียนเล่อจะมานั่งตรวจข้อสอบในฝั่งสตรีด้วยนะ”
ตึ่กๆ ลี่เหม่ยหลินใจเต้นคล้ายสะดุ้ง ‘อาจารย์อู๋เทียนเล่ออีกแล้ว’ จำได้ว่าท่านแม่ของนางก็กล่าวถึงชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อวาน คนผู้นี้มีความสำคัญอย่างไร? ในเมื่อท่านเป็นเพียงอาจารย์ หรือจะเป็นผู้โด่งดังในแคว้นต้วนเป่ย ‘และเมื่อครู่คือนางใจสั่น...หรือมันจะมีอะไรมากไปกว่าการเป็นเพียงอาจารย์ธรรมดา’ แต่เอาเถอะ นางจะไม่ปล่อยไก่ให้ว่านเจียอีได้รู้ว่า นอกเหนือจากปฏิกิริยาของความรู้สึก นางนั้นก็จำท่านอาจาย์อู๋ไม่ได้หรอก “จริงรึ” ^^
“จริงสิ ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้พวกเราจะโชคดี” ดึงๆ “นั่นไงๆ” คำหลังบอกสหายที่นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลืมนาง ด้วยเสียงกระซิบ “บุรุษรูปงามกว่านี้ ในแคว้นต้วนเป่ยย่อมไม่มีแล้ว”
บุรุษร่างสูงใบหน้าหมดจด คมคาย เกล้าผมขึ้นเพียงครึ่งศีรษะ ในชุดแบบเดียวกันกับท่านอาจารย์และผู้คุมสอบทุกคนคือสีเทาแถบขาว เดินผ่านด้านหลังของศาลา ในความหล่อเหลาของอาจารย์อู๋เทียนเล่อที่ลี่เหม่ยหลินเห็นจากที่ไกลๆ นั้นดูมีความเป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัว รอยยิ้มจุดตรงมุมปากของอีกฝ่ายคล้ายมันคือสิ่งที่มีไว้เพื่อล่อลวงสตรี หนึ่งในนั้นคงมีว่านเจียอีรวมอยู่ด้วย ‘แล้วนางเล่า…เหตุใดจึงใจสั่นขึ้นมาเป็นระยะๆ และสั่นมากกว่าเดิมเมื่อพบหน้า มิใช่ว่านางก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นหรอกรึ?’ “อาจจะเป็นดังเช่นเจ้าว่า ท่านอาจารย์อู๋อายุเท่าใดรึ” ถึงยังดูหนุ่มแน่น
“ลี่เหม่ยหลิน!”
ขวับ! เจ้าของนามหันกลับมาทางแถวของตัวเอง พร้อมกับขานรับเมื่อนั่นคือนามของนางในร่างนี้ “เจ้าคะ”
“อย่ามัวแต่มองบุรุษ ไปนั่งที่ของเจ้าได้แล้ว”