“อาซิง แต่ก่อนที่ข้าจะเจ็บป่วย ข้าสนิทสนมกับพี่น้องสกุลว่านมากหรือไม่”
อาซิงนิ่งคิดไปเพียงหนึ่งจิบชา เพราะด้วยส่วนตัวของนางนั้น หากนายสนิทสนมกัน สาวใช้เช่นนางกับสาวใช้ของคุณหนูว่านย่อมต้องสนิทกันด้วย “ไม่มากเจ้าค่ะ ที่จริงแล้วในสำนักศึกษาแห่งนี้ คุณหนูมิได้มีสหายที่สนิทสนมกันจนถึงขั้นเชื้อเชิญมาที่จวน อาจจะมีบ้างที่ไปร่วมงานกับนายท่านในวังหลวงแต่ก็มิได้ให้ความสนิทสนมกับผู้ใดไม่ว่าบุรุษหรือสตรีเจ้าค่ะ”
ลี่เหม่ยหลินเดินนำสาวใช้ไป คิดไป ‘ไม่มีเพื่อนเลยรึ?’ การใช้ชีวิตของสตรีตัวน้อยที่กำลังจะปักปิ่นทำไมจึงดูไม่สนุกเอาเสียเลย “วันๆ นอกจากร่ำเรียนเขียนอ่านแล้ว ข้าก็อยู่แต่ในจวนงั้นสิ”
“มิใช่เจ้าค่ะ คุณหนูชอบเดินเที่ยวแต่ไม่ชอบสุงสิงกับใครเท่านั้นเอง”
“อ่อ” ‘โลกส่วนตัวสูง’ “เช่นนั้นเจ้าว่าข้าควรไปร่วมงานปักปิ่นของว่านเจียอีหรือไม่”
“ตามมารยาท คุณหนูว่านเชิญ เราก็ควรจะไปนะเจ้าคะ”
มันก็จริงอย่างที่อาซิงว่า “อืม ไปก็ไป” จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็คงแค่...เด็กแกล้งกันนั่นล่ะ
จวนสกุลว่าน
“พี่คิดอย่างไรจึงใช้ให้ข้าชวนลี่เหม่ยหลิน” ว่านเจียอีนั่งหน้ายุ่งอยู่ในสวนกว้าง ‘ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายน่ะสิ ดูเหมือนจะไม่ชอบใครเลยสักคน’ แต่ก่อนนั้นตัวนางเองเป็นฝ่ายสนทนากับคุณหนูลี่ก่อนเพราะอีกฝ่ายมาจากต่างแคว้นและไม่ค่อยสนใจใคร ยามนั้นไม่เหมือนยามนี้ที่อีกฝ่ายดูน่าเข้าหาและน่าคบมากกว่าตอนแรก แต่ก็นั่นล่ะ ความเป็นลี่เหม่ยหลินมันไม่สามารถเดาได้…ถ้าอีกฝ่ายอยากพูดนางก็จะพูด ถ้าไม่พูดก็คือไม่
ว่านจือฮันยักไหล่ “ไม่รู้สิ แค่วันนี้นางดูน่ารักจึงอยากจะให้เจ้าชวนนางมาด้วย ว่าแต่เจ้าได้บอกสหายทุกคนของเจ้าหรือยัง”
“บอกอย่างไร สหายข้ามีเพียงสามคนแต่สามคนนั้นก็ต้องเตรียมงานปักปิ่นของตนเองด้วย ยกเว้นลี่เหม่ยหลินที่ต้องรอไปอีกมากกว่าสี่เดือน”
“นางยังเด็กมากจริงๆ”
“เด็กอย่างไร นางก็ใกล้จะปักปิ่นเหมือนข้า” -_- “พี่คิดอะไรอยู่รึเปล่า” ว่านเจียอีหรี่ตามองพี่ชายที่อายุมากกว่าตนเองสามปี “อย่าบอกนะว่าพี่แอบสนใจนาง”
“เปล๊า!!”
เสียงสูงเช่นนี้มีรึจะเป็นอย่างปากว่า “ฮึ ลี่เหม่ยหลินกับครอบครัวของนางจะอยู่ที่แคว้นของเรากี่ปีก็ไม่รู้ พี่คิดว่าสตรีที่ไม่สนใจใครอย่างเหม่ยหลิน หากชมชอบพี่แล้วนางจะยอมอยู่ที่นี่รึเปล่า ไหนจะสาวใช้อุ่นเตียงอีกห้าคนของพี่ล่ะ”
“สาวใช้อุ่นเตียงที่ไหน ไม่มี๊!”
“ฮึ หึ หึ ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องของพี่ น้องสาวคนนี้ไม่อยากยุ่ง” ฟุ่บ! ว่านเจียอีลุกเดินหนีเข้าห้องไป ในขณะที่พี่ชายของนางได้แต่ยืนหัวเสียอยู่ตรงนั้น ‘ถ้าวันใด สาวใช้อุ่นเตียงของพี่เกิดท้องขึ้นมา ข้าไม่อยากจะคิดถึงท่านแม่เลย จวนแตกแน่ๆ’ มีอย่างที่ไหนสาวใช้เข้ามาใหม่ ฟาดเรียบหมด...เฮ้อ
จวนราชทูต
“ท่านแม่เจ้าขา”
เยว่ฮูหยินผู้กำลังนั่งปักผ้า ยิ้มใส่บุตรสาวคนเดียวของตระกูลพร้อมกับอ้าแขนรับอีกฝ่ายเข้ามาในอก “ว่าอย่างไรลูกรัก”
“ว่านเจียอีชวนลูกไปร่วมงานวันปักปิ่นของนาง”
“อืม ดีแล้ว เช่นนั้นอีกไม่นานคงมีแม่สื่อไปทาบทามคุณหนูว่านไม่เว้นแต่ละวันเพราะบิดาของนางคือราชเลขาว่านซีฮัน สกุลใดก็อยากเกี่ยวดอง” จำได้ว่าสกุลว่านคือสกุลของขุนนางในวังหลวง ตำแหน่งของว่านซีฮันเป็นถึงราชเลขาฝ่ายใน รับคำสั่งจากฮ่องเต้ก่อนจะเบิกจ่ายข้าวของเครื่องใช้ไปสู่วังหลัง สิ่งใดของสตรีขาดเหลือ ต้องผ่านว่านซีฮันก่อน เรื่องนี้สามีของนางเคยเล่าให้ฟังเมื่อไม่นานมานี้
ลี่เหม่ยหลินนึกถึง ‘แม่สื่อ’ คงทำคล้ายๆ การติดต่อขอสตรีไปให้บุรุษที่ถูกใจ ถามว่าทั้งสองฝ่ายชอบพอกันหรือไม่...ด้วยตำแหน่งขุนนางของว่านซีฮัน ฝั่งของบุรุษอาจจะไม่คิดถึงข้อนี้ แต่คิดถึงรากฐานดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง รึเปล่า? “แม่สื่อส่วนใหญ่ที่มาทาบทาม ทำตามคำสั่งของบุรุษที่ชมชอบสตรีจึงอยากได้พวกนางไปร่วมหอหรือว่าทำตามเจ้าของสกุลสั่งเจ้าคะ”
“ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง สตรีสูงศักดิ์หรือบุรุษสูงศักดิ์ย่อมมองถึงความเหมาะสมเป็นหลัก” ลูบไหล่บุตรสาวพลางสอน “แต่เมื่ออยู่ๆ กันไปก็จะรักกันเอง เหมือนแม่เจ้ากับพ่อเจ้า แม้ภายหลังพ่อเจ้าจะต้องมีอนุ” คำหลังแผ่วเบาและเงียบไปอึดใจ “แม่ก็ควบคุมได้ การเป็นฮูหยินเอกจงอย่าให้สตรีที่ด้อยกว่ามาข่มเหง จำเอาไว้นะเหม่ยหลินของแม่”
“เจ้าค่ะ” ‘ถ้ามันทำให้ไม่มีความสุขและต้องร่วมแบ่งปันสามีให้ผู้อื่น ไม่สู้นางไม่มีเสียยังจะดีกว่ามิใช่รึ’ เอาเถอะ อย่างไรเสียนางคงยังไม่มีคนรักในตอนนี้แน่ เรื่องสำคัญอันดับแรกเมื่อจบการศึกษาแล้วคือนางต้องหางาน หาเงินเป็นของตนเอง อย่างเช่นเปิดร้าน ^^ จะได้มีรายได้ “ท่านแม่เจ้าขา ยามนี้ลูกถือว่าเป็นสตรีเต็มตัวแล้วใช่หรือไม่”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้” เพราะอีกไม่นานบุตรสาวก็ครบสิบห้าแล้ว สตรีที่พร้อมจะออกเรือนนับได้ว่าเติบโตอย่างเต็มตัว
^^ “เพราะฉะนั้น ในเมื่อลูกยังต้องอยู่ในแคว้นนี้ไปอีกนาน ลูกก็อยากจะเปิดร้านสักหนึ่งร้านเป็นของตนเอง”
“หืม” ละมือจากปักผ้า “เปิดร้าน”
“เจ้าค่ะ เบี้ยของลูกที่สะสมมามีมากมาย แทนที่จะเก็บมันไว้เฉยๆ ไม่สู้นำมันออกมาต่อยอดไม่ดีรึเจ้าคะ” แน่นอนว่านางได้สำรวจสิ่งของเครื่องใช้ของตน ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนนั้นแล้ว เบี้ย อัฐมากมายของนางนอนอยู่ในหีบนั้นเฉยๆ มันคงไม่สามารถงอกเงยได้หากนางไม่ลงทุนก่อน
“อืม” ทำท่าคิด “จะเปิดร้านขายอะไร ที่ไหนล่ะ”
^^ “จะเป็นร้านอะไร ลูกขออุบไว้ก่อน เอาเป็นว่าท่านแม่ถามเช่นนี้คือตกลงแล้วนะเจ้าคะ” ผู้อยากทำงานรวบรัดตัดความเพื่อมิให้ท่านแม่ได้คัดค้าน “วันพรุ่งนี้ลูกจะไปหาเช่าบ้านสักหนึ่งหลัง รบกวนท่านแม่บอกกับท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ” ละจากเอวมารดาแล้วเรียกสาวใช้ที่กำลังคุยกับท่านป้ากวมอยู่ “อาซิง ไปเถอะ”
สาวใช้ตัวน้อยวิ่งตามคุณหนูไปยังเรือนเล็ก ที่คุณหนูของนางพักอยู่ตลอเตั้งแต่เดินทางมาถึงแคว้นต้วนเป่ย ความเป็นส่วนตัวนี้ สาวใช้เช่นนางก็ชื่นชอบและเมื่อตามคุณหนูไปถึงหน้าเรือน นางเห็นคุณหนูนั่งลงขีดเขียนอะไรบางอย่าง อ่านได้ว่า ‘สำนักแม่สื่อ’ ก่อนตัวหนังสือนั้นจะถูกฆ่าทิ้งและเขียนคำใหม่ว่า ‘สมาคมแม่สื่อ’ ก่อนตัวหนังสือก็จะถูกฆ่าทิ้งอีก คำที่สามยังไม่ทันจบดีก็ถูกขีดทิ้งอีกแล้ว “คุณหนูทำสิ่งใดรึเจ้าคะ”
ลี่เหม่ยหลินละจากพู่กัน ก่อนจะเท้าแขนไปด้านหลัง ใบหน้ายังคงมีแววครุ่นคิด “ข้าจะเขียนชื่อร้านน่ะสิ” ความคิดที่จะเปิดบริษัทเหมือนสมัยที่อยู่ในภพเดิมเกิดขึ้น เพราะในภพนี้ก็มีแม่สื่อจะต่างกันคือแม่สื่อเช่นนางจะเปิดร้านและมีทีมงานหลายฝ่าย ที่สำคัญกว่านั้นต้องมีห้องเช่า บ้านหรือร้านที่อยู่ในเขตชุมชน มีชื่อร้านที่นางต้องใส่ชื่อมันให้เข้ากับสถานที่ ‘แต่จะใช้ชื่ออะไรล่ะ’ นั่นคือปัญหา! “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ร้านของข้ายังไม่ได้เปิดเพราะฉะนั้น เรื่องชื่อร้านข้าต้องใจเย็นๆ” ปลอบตนเองอยู่เช่นนั้น แต่ยังคงวาดโครงสร้างของร้านที่นางต้องการเพื่อให้เป็นจุดเด่น เมื่อครู่นี้ตอนที่เดินกลับมายังจวนสกุลลี่ นางผ่านย่านค้าขาย ผ่านเส้นทางที่อาซิงบอกว่าข้างในตรอกนั้นมีตลาด ผ่านที่ว่าการเขต ผ่านโรงเตี๊ยม สรุปคือเส้นทางที่เดินผ่านเป็นย่านชุมชน และถ้าจะให้ดีที่สุดนางควรเปิดร้านอยู่ใกล้ๆ กับสำนักศึกษา ‘หึหึ’ เขียนตำแหน่งของพนักงานที่ต้องการเป็นตัวหนังสือ พร้อมกับถามสาวใช้ว่า “เจ้าอ่านออกเขียนได้ใช่หรือไม่”
อาซิงยื่นหน้าไปอ่านข้อความก่อนจะนึกตามคำถามคุณหนู “อ่านได้บางตัวและเขียนไม่ค่อยได้เจ้าค่ะคุณหนู”