หมอหญิงฟ่งตบหลังมือของผู้ที่นอนหลับไปยาวนานคล้ายปลอบใจ พร้อมกับเอ่ยคำถามขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหนูลี่ ยามนี้เจ้าอาจจะรู้สึกมึนงงสงสัยอยู่บ้าง นั่นอาจจะเป็นเพราะเจ้านอนหลับไปยาวนาน แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็อยากถามเจ้าว่า เจ้าเจ็บปวดตรงไหนอยู่หรือไม่”
“หัว”
ผู้ฟังพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปกล่าวกับเยว่ฮูหยินและราชทูตลี่จง “ข้าจะจัดเทียบยาแก้ปวดให้คุณหนูลี่สามวัน และข้าจะเข้ามาตรวจนางอีกครั้ง ในระหว่างนี้ขอให้พวกท่านบำรุงร่างกายของคุณหนูให้มากหน่อยเพราะนางยังอ่อนเพลียมาก สิ่งที่จะช่วยได้คืออาหารที่มีประโยชน์และหมั่นฝึกฝนให้นางลุกขึ้นยืนหรือเดินเพื่อออกกำลังกายบ้าง ร่างกายของนางจะได้กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์โดยเร็ว”
“ขอบคุณท่านหมอหญิงฟ่ง” เยว่ฮูหยินยิ้มในหน้า ก่อนจะเดินตามหมอหญิงออกไปเพื่อรับยาด้านนอก ระหว่างนั้นนางได้สอบถามท่านหมอเกี่ยวกับเรื่องของบุตรสาวอย่างเป็นกังวล “เหม่ยหลินของข้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่หรือไม่ท่านหมอ” เหมือนเดิมในที่นี้คือ เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่หนาวที่ร่าเริงแจ่มใส ชอบช่วยเหลือผู้คนไม่ต่างจากนางและสามีที่ถึงแม้จะอยู่ในต่างแคว้นตามหน้าที่ แต่ก็มิวายทำบุญ เลี้ยงข้าวปลาอาหารให้แก่ผู้ยากไร้อยู่เสมอ หนึ่งปีที่ผันผ่านในต่างแคว้น มีแต่คนรักใคร่ โรคภัยไม่เคยข้องแวะ เว้นเสียแต่บุตรสาว ที่เกิดล้มป่วยขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
“หากได้รับอาหารชั้นดีและสมุนไพรบำรุงร่างกายในชีวิตประจำวัน คุณหนูย่อมกลับมาแข็งแรงแน่นอน เยว่ฮูหยินอย่าได้กังวล”
“ขอบคุณท่านหมอ” เยว่ฮูหยินผงกหัวคล้ายร่ำลาเมื่อห่อยาถูกส่งไปให้สาวใช้ สายตาผู้เป็นเจ้าบ้านมองรถม้าของหมอหญิงฟู่เคลื่อนตัวจากไป นางจึงหันกลับเข้าไปในจวน จวนราชทูตที่มิใช่จวนที่แท้จริงของครอบครัว แต่มันคือจวนประจำตำแหน่งของสามีที่มารับหน้าที่ในแคว้นต้วนเป่ยนี้เท่านั้น หากหมดวาระเมื่อใด นางและครอบครัวย่อมต้องกลับไปพำนักอาศัยยังแผ่นดินเกิด นั่นก็คือแคว้นฉิน “อาซิง”
สาวใช้วัยสิบแปดปีออกจากภวังค์ความคิด “เจ้าคะ ฮูหยิน”
ผู้เป็นฮูหยินได้แต่ถอนหายใจให้กับสาวใช้ของบุตรสาวที่เอาแต่ร้องไห้และกล่าวโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่วันที่บุตรสาวของนางหมดสติ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือ ถ้าหากวันนั้นอาซิงไม่รีบแบกเหม่ยหลินไปโรงหมอ ไม่แน่ว่าบุตรสาวของนางอาจจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ก็เป็นได้ “รีบไปต้มยาแก้ปวดให้นายเจ้าเสีย” สั่งการสาวใช้ นามว่าอาซิงที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเรือนเล็กของบุตรสาวมานานหลายวัน ร่องรอยบวมช้ำตรงดวงตา บ่งบอกได้ว่าอาซิงรักบุตรสาวของนางมาก...สาวใช้ที่ดีเช่นนี้ มีหรือที่จะทำความผิดได้
“แต่บ่าว” แววตาของสาวใช้เต็มไปด้วยความกังวล นางจับห่อยานั้นจนแน่น ลึกๆ ในใจอยากจะไปเฝ้าคุณหนูลี่เหม่ยหลินทุกเวลาแต่ด้วยเพราะความกลัวว่าคุณหนูจะเป็นอะไรไปโดยที่นางรับมือไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องของคุณหนู นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เกิดเรื่อง
“หรือเจ้าไม่รักคุณหนูของเจ้า”
อาซิงรีบเงยหน้า “มิใช่เจ้าค่ะ!” เพราะรักคุณหนูมาก รักดั่งน้องสาวที่คลานตามกันมา “แต่บ่าว กลัว”
^^ “กลัวสิ่งใดอีก เจ้าก็รู้อยู่ว่าคุณหนูของเจ้าฟื้นคืนสติแล้ว สำคัญกว่านั้นคือนางอยากให้เจ้าไปคอยดูแล หรือเจ้าอยากจะสละหน้าที่นี้ให้ป้ากวม” ป้ากวมคือบ่าวของนาง ที่มักจะเข้าไปเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าให้กับบุตรสาว ยามที่อีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว
“บ่าวจะทำเองเจ้าค่ะ มันคือหน้าที่ของบ่าวตั้งแต่แรก” และมันคือความจริง นางเป็นสาวใช้สกุลลี่มาตั้งแต่นางอายุได้หกหนาว บิดามารดาหนีหาย ทิ้งนางให้อยู่กับท่านยายหรือก็คือป้ากวม ผู้เป็นสาวใช้ของเยว่ฮูหยินนั่นเอง
“อืม เช่นนั้นก็ไปเถอะ” มองอาซิงเดินย้อนกลับไปยังโรงครัว ก่อนที่นางจะก้าวเข้าไปในเรือนเล็ก จุดหมายปลายทางคงไม่พ้นห้องนอนของบุตรสาว ที่มีสามีของนาง ลี่จง อยู่ในนั้น ใจหวังว่าสองพ่อลูกคงสนทนากันตามประสาพ่อลูก แต่ไหนเลยกลับผิดคาดเมื่อนางเดินไปถึงห้องนอนกลับพบเพียงบุตรสาวนอนหลับไปโดยมี สามีนั่งเฝ้า “ท่านพี่”
ราชทูตใหญ่ หันมองฮูหยินข้างกาย ในความรู้สึกของลี่จง เขารู้ว่าภรรยาคงอยากถามว่าบุตรสาวได้เอ่ยคำใดออกมาบ้างในระหว่างที่นางไม่อยู่ ซึ่งเขาเองก็อยากจะบอกว่า “เหม่ยหลินบอกว่าง่วง แล้วนางก็หลับไป” มีเพียงแค่นั้นจริงๆ แต่ที่เขาผู้ซึ่งเป็นบิดายังคงนั่งอยู่ตรงนี้ นั่นเป็นเพราะว่าเขากลัวบุตรสาวจะเกิดอาการชักเกร็ง ก่อนลมหายใจจะขาดห้วงไปอีกครั้ง ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจบิดาผู้มีบุตรสาวเพียงคนเดียวทั้งๆ ที่เขามีอนุมากมายแต่กลับไม่เคยมีอนุคนใดมีบุตรชายหรือบุตรสาวให้เขาได้สักคน
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เยว่ฮูหยินเดินไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสามีและมองบุตรสาวของตนเองเช่นกัน
“อืม”
เวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งชั่วยาม (หนึ่งชั่วโมง) อาซิงผู้เป็นสาวใช้ได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับโถใส่ยาต้มหอมกรุ่น นางก้มหัวให้กับนายท่านลี่และเยว่ฮูหยินก่อนจะเดินไปวางโถยาลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านข้างของหัวเตียง ความรู้สึกสงสารคุณหนูที่มีร่างกายผ่ายผอมเกิดขึ้นอีกครั้ง น้ำตาใสๆ เอ่อคลอจนเต็มสองหน่วยตา นางรีบใช้หลังมือเช็ดมันออกลวกๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูผู้ที่นอนหลับอยู่ “คุณหนูเจ้าคะ ตื่นขึ้นมาดื่มยาก่อนเจ้าค่ะ”
&&&&
ในห้วงฝัน เรื่องราวของสตรีในชุดจีนโบราณเดินเล่นไปในตลาดสดยามบ่ายพร้อมกับสาวใช้คนสนิท ภาพนั้นเหมือนวีดิโอม้วนเดิมที่ถ่ายแต่ฉากเดิมซ้ำๆ จนจำได้ ไม่เว้นแม้แต่ฉากที่สตรีน้อยนางนั้นพลันรู้สึกวิงเวียนศีรษะและหมดสติลง พร้อมกับสาวใช้ตัวน้อยรีบแบกร่างของสตรีผู้หมดสติขึ้นหลังแล้วพาไปโรงหมอ ‘คุณหนูเจ้าคะ ตื่นมารับยาก่อนเจ้าค่ะ’ เสียงแว่วคล้ายเรื่องจริงหรือไม่จริง ทำให้ดวงตาของนางค่อยๆ ลืมขึ้น แสงสว่างในเวลากลางวัน บวกกับสภาพห้องที่พักอาศัยมันคือสถานที่เดิมที่นางตื่นและหลับไปก่อนหน้า ชีวิตเก่าในร่างของวรัญญานั้นคงสิ้นไปแล้ว จะมีเพียงชีวิตใหม่...ที่เป็นของลี่เหม่ยหลิน?
“คุณหนู บ่าวขอโทษ ฮือๆๆ” อาซิงนอนหมอบหน้าอยู่กับฝ่ามือบอบบางนั้น เมื่อเห็นคุณหนูผู้ผ่ายผอมของตนลืมตาขึ้น “ฮือๆ บ่าวกลัวเหลือเกิน”
ภาพจำในฝันที่วนลูปซ้ำๆ ถ้าจะให้เดาเรื่องราว สตรีที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่นี้คือ อาซิง สาวใช้ที่พาสตรีไร้สติไปหาหมอ และนางก็คือสตรีไร้สติ ลี่เหม่ยหลินจริงๆ “ขอ โทษ เรื่องใด” กล่าวกระท่อนกระแท่น
“บ่าวผิดที่พาคุณหนูไปตลาด บ่าวผิดที่ไม่ดูแลคุณหนู ฮือๆ”
“ไม่เลย เจ้าคือผู้มีพระคุณ” ลี่เหม่ยหลินหอบหายใจเมื่อกล่าวออกไปยาวๆ นางเงียบไปนานจนได้ยินเสียงของ ท่านแม่ สั่งให้สาวใช้รินยาต้มแก้ปวดมาให้นาง ทันทีที่ความขมปร่าไหลลงสู่ลำคอ ใบหน้าน่ารักแต่ซีดเซียวก็ถึงกับเหยเก นางรีบดื่มยาถ้วยนั้นและเรียกหาน้ำเปล่าในทันที ก่อนจะนั่งพักหายใจเพื่อปรับจูนสติที่ยังคงเหลืออยู่ นอกจากอาการใจหายกับชีวิตที่ตายจากไปเพียงเพราะหมดสติท่ามกลางแสงแดด ‘ฮีทสโตรก’ คงเป็นโรคเดียวที่นึกขึ้นได้ ยามนี้จะให้โวยวายคงไม่ใช่เรื่องดีและนางไม่คิดที่จะทำ สองตากลมมองไปยังผู้สูงวัยสองคนที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องนี้ร่วมกัน นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่สื่อออกมาจากแววตาของพวกท่าน ความตื่นตันใจที่นางได้รับมันคือของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย “ท่านพ่อ ท่านแม่” คำนี้ที่นางควรจะกล่าว และเป็นสมองที่สั่งการให้นางพูดมากกว่าคำว่า คุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งทุกถ้อยคำที่เปล่งออกไป “ลูกหลับไปนานหรือไม่เจ้าคะ”
เย่วฮูหยินเดินตรงเข้าไปหาบุตรสาวด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง ‘นางดีใจเหลือเกิน’ “เหม่ยหลินลูกรัก ลูกหลับไปนานเกือบหนึ่งสัปดาห์ ใจแม่แทบจะขาดตามลูกไป แม่กลัวเหลือเกิน” นางรวบร่างของบุตรสาวเอาไว้ในอก “ยามนี้เจ้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แม่ขออวยพรให้เจ้า จงอย่าได้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก พ้นเคราะห์แล้วนะลูกนะ” ผู้เป็นมารดาอวยพรรับขวัญ
เจ้าตัวที่ได้ฟังคำว่า ‘เหมือนตายแล้วเกิดใหม่’ ถึงกับน้ำตารื้น