เสียงบุรุษทางด้านหลังเรียกสติของสาวใช้ให้ออกจากภวังค์ อาซิงหันไปมองก็พบกับคุณชายฮุ่ยหมิงเจ๋อ บุตรชายของท่านราชองครักษ์ฮุ่ยเหอร่วน ที่นางรู้จักนั่นเป็นเพราะคุณชายท่านนี้เคยประกาศในสำนักศึกษาว่าเกลียดชังคุณหนู หาว่าคุณหนูของนางเย่อหยิ่งทั้งๆ ที่เป็นคนต่างแคว้น “ไม่รู้” บุรุษเช่นนี้มีความจำเป็นใดให้ต้องสนทนาด้วย บ่อยครั้งที่ก่อนหน้านี้คุณชายสกุลฮุ่ยดักรอเพื่อต่อว่า ดีเท่าใดที่คุณหนูตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไปแบบเจ็บๆ จนหายไปนานหลายเดือน แล้วตอนนี้คือ?
“หึ เย่อหยิ่งทั้งนายทั้งสาวใช้ ได้ข่าวว่าพากันมาตั้งร้านในเขตชุมชนเพราะอยากจะหาเงินกลับไปยังแคว้นฉิน” กอดอก เบ้ปาก “จะได้ไปสักกี่อัฐเชียว” เดินวนดูบริเวณหน้าร้าน ใจอดยอมรับไม่ได้ว่าการตกแต่งและการต่อเติมช่างงดงามได้สัดส่วน...แต่มันก็แค่นั้น ในเมื่อเขาไม่คิดจะสนใจ
“...” อาซิงกำหมัดแน่น
“สงสัยเบี้ยหวัดจากงานของบิดา คงมีไม่พอใช้สินะ คุณหนูของเจ้าจึงต้องดิ้นรนขวนขวายเช่นนี้ น่าสมเพช”
อาซิงได้ฟังก็ถึงกับหน้าตึง บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งกว่าแม่ค้าในตลาด นางลุกขึ้นยืนแล้วเท้าสะเอวเตรียมตัวที่จะปะทะแทนคุณหนู แต่จังหวะนั้นนางเหลือบไปเห็นคุณหนูกำลังเดินมา แต่เชื่อเถอะว่าคุณหนูก็คงจำคุณชายฮุ่ยไม่ได้อีกเช่นเคย
“เกิดสิ่งใดขึ้นรึอาซิง” ลี่เหม่ยหลินเดินอ้อมไปประจันหน้ากับบุรุษร่างใหญ่ ในแววตามีความสงสัยแต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าของอีกฝ่ายตีตื้นขึ้นมา นางเริ่มจับสังเกตได้รางๆ แล้วว่าเจ้าของร่างต้องมิชอบคนผู้นี้มากเป็นแน่ “คุณชายท่านนี้...”
“ฮ่าๆๆๆ ลี่เหม่ยหลิน นี่เจ้าเจอหน้าข้าถึงกับพูดไม่ออกเลยรึ” เดินวนไปรอบๆ สตรีร่างเล็กที่ต้องจบการศึกษาไปก่อนเพราะต้องเตรียมตัวปักปิ่น ตาคมมองร่างบางขึ้นลงๆ อย่างหยาบโลน “ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากที่เจ้าหมดสติไปครั้งนั้นจนมาถึงตอนนี้ เจ้าจะงามได้อย่างไร้ที่ติ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิได้งดงามจนถึงขั้นดึงดูดข้าได้และไม่มีทางที่ข้าจะคว้าเอาเจ้ามาเป็นฮู…หยิ”
เพี๊ยะ!! มือเล็กตบไปที่เบ้าหน้าของบุรุษที่นางไม่รู้จักแต่ร่างกายกลับเกลียดชังเขาเข้าใส้ แรงกระทบนั้นทำเอามือบางถึงกับสั่นระริก ความโกรธของนางอันดับแรกคือคำดูถูกของอีกฝ่าย อันดับสองคือสายตาหยาบนั้นที่จ้องนางเมื่อครู่ “หัดดูสารรูปตนเองบ้าง ว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะรึ จะทำให้ข้าสนใจมอง เปลืองสายตา ปากสุนัขก็เท่านั้น เกิดมาชาตินี้สตรีใดคว้าเจ้าไปทำสามีข้าจะแถมข้าวสารให้อีกสิบกระสอบ!!”
“เจ้า!” ฮุ่ยหมิงเจ๋อกุมแก้มที่เป็นรอยนิ้วของสตรีด้วยความอับอาย รอบด้านเต็มไปด้วยคนงานและชาวบ้านต่างที่พากันมามุงดู ทุกคนคงจะคิดว่าเขามารังแกลี่เหม่ยหลินแน่ๆ ยกมือชี้ไปที่สตรีตัวน้อย ปากพร่ำด่าอย่างเจ็บใจ “เตรียมตัวรับโทษจากเบื้องบนได้เลย!!” ข่มขู่
“ทำไม! เจ้าจะนำเรื่องที่ข้าตบหน้าเจ้าไปฟ้องบิดารึ” ลี่เหม่ยหลินยกยิ้มตรงมุมปาก “สมกับเป็นบุรุษยิ่งนัก ถ้าแน่จริงก็ให้ไปฟ้องร้องต่อหน้าฮ่องเต้เลยจะเป็นไร ถึงครานั้นข้าจะพกชุดกระโปรงของข้าไปด้วย เผื่อให้เจ้าเอาไว้ใส่เพื่อเดินออกจากท้องพระโรง”
“เจ้า!!” ฮุ่ยหมิงเจ๋อพุ่งเข้าใส่สตรีรุ่นเยาว์ตรงหน้า แต่ยังเข้าได้ไม่ถึงตัวกลับมีบุรุษร่างใหญ่ยืนขวางเอาไว้ พลางจ้องหน้าเขาอย่างดุดัน
“ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องคุณหนูแม้ปลายเล็บ ต่อให้เจ้าจะเป็นคุณชายยิ่งใหญ่มาจากที่ใดก็อย่าหวังว่าข้าจะออมมือ” เหวินซางกล่าวโดยไร้แววตาล้อเล่น แม้ตนจะต่างฐานะแต่ถ้าหากให้กล่าวกันตามจริง คุณหนูของเขามิได้กระทำสิ่งใดผิดเลย ในทางกลับกันคุณชายฮุ่ยผู้นี้นั่นล่ะที่ขาดสติว่าร้ายผู้อื่น หนำซ้ำคู่กรณียังเป็นเพียงสตรีร่างเล็กกว่าตน มองอย่างไรก็ผิด “กลับไปเสียก่อนที่ข้าจะจัดการทั้งนายทั้งบ่าวแล้วส่งเพียงร่างไม่ได้สติกลับจวนสกุลฮุ่ย”
“เจ้ากล้าขู่ข้ารึเจ้าบ่าวชั้นต่ำ!!”
เหวินซางเดินเข้าหาฮุ่ยหมิงเจ๋อด้วยดวงตาหมายมาด “ข้าเป็นบ่าวชั้นต่ำ แต่มิเคยคิดข่มเหงสตรีเฉกเช่นคุณชายอย่างเจ้า” ยิ่งบ่าวชายด้านหลังของอีกฝ่ายที่มีร่างกายผ่ายผอม คนฝึกวรยุทธ์รึจะหวาดกลัว
“เจ้าคนชั้นต่ำ!” ฮุ่ยหมิงเจ๋อผู้กุมแก้ม จะเดินหน้าก็ไม่เดิน จะถอยหลังก็ไม่กล้า ขาสั่นเทาจึงทำได้เพียงยืนนิ่ง ในขณะที่บ่าวชายกลับเป็นฝ่ายลากเขาออกไปจากร้านเพราะความอับอาย
ไร้คำอธิบายจากสาวใช้และตัวของลี่เหม่ยหลินก็ไม่คิดจะไถ่ถาม ในเมื่อร่างกายของนางตอบสนองมันออกไปก่อนที่สมองของนางจะสั่งการเสียด้วยซ้ำ ความเจ็บของฝ่ามือในตอนนี้บ่งบอกได้ชัดเจนถึงความเกลียดชังเพราะมันทั้งแดงและสั่นไปหมด “บุรุษน่าชังผู้นั้นขู่ หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าในครั้งต่อไปก็ให้คิดไว้ได้ว่ามันคือผู้อยู่เบื้องหลัง”
“คุณหนู” อาซิงกอดแขนบอบบางนั้นไว้อย่างสงสาร
ลุงเม่าเดินเข้ามาเคียงข้าง “หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจริงๆ เราทุกคนในที่นี้จะอยู่ข้างคุณหนูเอง” คนงานทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ไม่ไกลจากบ้านเช่าหลังนั้นมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนมองอยู่ ก่อนจะเดินห่างออกไปจากตรงนั้นเพื่อรายงานนายตนเองผู้เป็นเจ้าของพื้นที่
สองวันต่อมา
เหม่ยหลิน~รับจัดหาคู่
“อืม…ป้ายเช่นนี้” เจ้าของนามเดินวนไปวนมาดูป้ายไม้ลวดลายวิจิตร ที่นางจ้างให้ช่างฝีมือดีทำมันขึ้นเพื่อนำไปติดไว้หน้าร้าน “จะขาดคำว่าบริษัทแต่ใครจะเข้าใจ”
“คือสิ่งใดขอรับ” ช่างไม้ทำหน้าไม่เข้าใจ
“นั่นสิ จะใส่คำว่าร้านค้า ข้าก็มิได้ขายของ อืม…” ‘สมาคม? ก็ไม่ใช่แล้วมันควรจะใส่คำใดไปได้ในเมื่อหากจะต้องเปิด มันก็คือร้านนั่นล่ะ “เอาเช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะ” ผู้ใดจะเข้าใจอย่างไรก็แล้วแต่ล่ะนะ “เหวินซาง ยกมันไปที่ร้านข้าเลย” นางสั่งบ่าวชายพร้อมกับดึงถุงใส่เบี้ยออกจากข้างเอวพลางหยิบอัฐส่งให้ช่างไม้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก แสงแดดแรงกล้าทำให้นางถึงกับต้องยกมือขึ้นมาบังหน้าผาก ก่อนหน้านี้นางยังจำได้ว่าเจ้าของร่างนั้นเกิดอาการหมดสติ ‘ฮีท สโตรก’ นางหาได้หวาดกลัวแต่ก็ต้องระวังเอาไว้ ด้านหลังยังคงเป็นอาซิงที่เอาแต่จับชายแขนเสื้อ นางเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยแน่ เพราะ…
ฟึ่บ!
จู่ๆ กลับมีร่มหนึ่งคัน มากางบังแดดให้นาง ความตกใจทำให้นางถึงกับสะดุดก้อนหินและโผไปข้างหน้า “อ้ะ!” สวบ!! “อุ๊ย!” เอวบางถูกจับไว้ด้วยมือแข็งแกร่ง ตัวนางสั่นระริกภายใต้อ้อมกอดบุรุษ
“คุณหนูลี่ เจ้าช่างไม่ระวังตัวเอาเสียเลย” ^^
น้ำเสียงเช่นนี้ มีเพียงหนึ่งเดียวที่นางจดจำ หัวใจดวงน้อยเต้นแรง ลี่เหม่ยหลินไม่รู้ว่าการถึงเนื้อถึงตัวยามนี้ นางควรจะถามหาความรับผิดชอบรึเปล่า หรือท้ายที่สุด ความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่การช่วยเหลือและมิมีผู้ใดสนใจ ตากลมมองไปยังเบื้องหน้า…กลับปรากฏว่า ‘ผู้คนรอบด้านต่างยืนนิ่ง และจ้องมองนางที่อยู่ในอ้อมกอดของท่านอาจารย์อู๋เทียนเล่อ!’ “ปล่อยศิษย์ก่อนเจ้าค่ะ” ใบหน้านวลแดงก่ำ มือบอบบางพยายามแกะมือหนา ที่นางเพิ่งจะได้รู้ว่ามันหยาบกร้าน อาจจะเพราะอีกฝ่ายฝึกวรยุทธ์...ไม่สิ นางต้องไม่ไขว้เขว “ท่านอาจารย์เจ้าคะ ปล่อยศิษย์ก่อน ท่านมิเห็นหรืออย่างไรว่าตอนนี้มีแต่คนมองพวกเรา”
“อ่า...นั่นสินะ ถ้าไม่มีใครมองคงจะกอดเอวเจ้าได้นานกว่านี้แน่ๆ”
สตรีตัวน้อยเม้มปากแน่น ‘เหตุใดจึงกล่าวราวกับกำลังเกี้ยวสตรี’ หรือข่าวลือที่ว่าท่านอาจารย์ชมชอบสตรีรุ่นเยาว์คงเป็นความจริงที่สุด ลี่เหม่ยหลินขยับร่างถอยห่าง พร้อมหันหลังไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แม้หัวใจของนางจะเต้นแรงมาก...แต่นางก็จะบังคับให้สมองสั่งการร่างกายให้ได้ “เจ้าค่ะ” ‘เอ๋?’ นางขมวดคิ้วกับคำพูดนั้น “เอ๊ย! ไม่ใช่นะเจ้าคะ”
^^ บุรุษรูปงามยิ้มกริ่ม ใต้ร่มคันใหญ่ท่ามกลางแสงแดด หากให้เดาจากท่าทางของสตรีตัวน้อยที่ใกล้จะปักปิ่นตรงหน้า ‘นางหน้าแดงเพราะอาย’ หาใช่แดงเพราะแดดจ้า “ใช่ก็บอกว่าใช่ อาจารย์ล้วนยินดีที่ได้กอด”