บังเอิญ

1459 Words
[เดือนหนาว] เช้าวันต่อมา… หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา หวังจะต่อสายหายัยก้อยถามเรื่องแม่ของนาง และจะถามยัยโฟร์ว่าออกมาหรือยัง เพราะวันนี้นางต้องมารับฉัน แต่พอเห็นข้อความที่ถูกส่งมาระหว่างฉันอาบน้ำก็พอจะเดาชะตากรรมตัวเองออก @แชตกลุ่ม ยัยโฟร์ : เพื่อนรัก ยัยโฟร์ : เมื่อคืนฉันไปยกแก้วมาอะ ฉันไม่เข้าเรียนเช้านะตื่นไม่ไหว “เฮ้อ สรุปเราต้องไปเรียนคนเดียวใช่ไหมเนี่ย แล้วจะเดินลงไปยังไง ปวดหัวเข่าจนอยากร้องไห้อยู่แล้ว” ตอนอาบน้ำแล้วแกะผ้าพันแผลออก หัวเข่าของฉันก็เริ่มเป็นสีม่วงแถมยังมีเลือดซึมออกมา ยิ่งโดนน้ำก็ยิ่งแสบ ตอนทำแผลก็น้ำตาแตกไปแล้วด้วย “หรือจะไม่ไปเรียนดีนะ เดินไม่ไหวแน่ ๆ เลย” แต่ก็ต้องสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดพวกนั้นออกไป ถ้าฉันไม่ไปเรียนแล้วกลุ่มเราจะรู้เรื่องเหรอ วันนี้เพื่อนก็ไม่เข้าเรียนสักคน ยิ่งต้องเตรียมเคลียร์งานและปรึกษาอาจารย์เรื่องทำโปรเจ็ค ถ้าฉันพลาดไปพวกเราสามคนต้องไม่จบแน่ ๆ เลย “ไปก็ไป” วันนี้เป็นวันแรกของปีสี่ที่ฉันขับรถมาเรียนเอง ปกติแล้วฉันจะนั่งแท็กซี่มาเพราะขี้เกียจขับรถ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือถ้าเอารถมาก็ต้องไปจอดตรงลานจอดรถข้างตึกคณะวิศวะ กว่าจะเดินมาถึงตึกคณะฉันก็ไกลเพราะอยู่กันคนละฝั่ง “วันนี้ต้องเดินไกลสินะ” ฉันพึมพำขณะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในช่องที่ว่างอยู่ กระทั่งเปิดประตูลงจากรถเสียงใครบางคนที่จับกลุ่มกันไม่ใกล้ไม่ไกลก็ทำให้ฉันต้องหันไปมอง “ไอ้ไวน์ นั่นคนที่มึงอุ้มเขาไปห้องพยาบาลเมื่อวานป่าววะ” ผู้ชายในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ บนบ่ามีเสื้อช็อปสีกรมพาดไว้มองมาที่ฉัน ก่อนจะหันไปสะกิดเพื่อนที่นั่งคร่อมจักรยานอยู่ “หวัดดี” ฉันส่งยิ้มไปให้ทั้งสามคนเมื่อเผลอสบตากับหนึ่งในนั้นเข้า “หวัดดีครับคนสวย เราชื่อทิวนะ” คนที่บอกเพื่อนให้หันมามองฉันทักทายกลับเป็นคนแรก “เราชื่อแทน” ผู้ชายอีกคนที่ยืนกดโทรศัพท์มือถืออยู่เงยหน้ามาทักฉัน ก่อนจะก้มลงไปกดโทรศัพท์มือถือต่อ “เราชื่อเดือนหนาว เรียกหนาวเฉย ๆ ก็ได้” ฉันแนะนำตัวบ้าง ก่อนจะหันไปก้มหัวหน่อย ๆ พร้อมส่งยิ้มให้อีกคนที่ยืนยิ้มอยู่ เขาชื่อไวน์ ฉันจำได้ “หนาวดีขึ้นแล้วเหรอ ทำไมมาเรียนล่ะ” คนที่เป็นขวัญใจเพื่อนฉันทักพลางบุ้ยปากมายังหัวเข่าของฉัน “ยังเจ็บแผลแล้วก็ปวดเข่าอยู่น่ะ จะหยุดก็ไม่ได้เพราะวันนี้อาจารย์จะคุยเรื่องโปร์เจ็ค เรากลัวไม่ทันเพื่อนน่ะ วันนี้กลุ่มเราไม่มีใครมาเรียนเลย” “ขยันจัง” คนที่คร่อมจักรยานอยู่อมยิ้มให้ “งั้นเราไปเรียนแล้วนะ” ฉันบอกยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินกะเผลกขาออกมา ในใจก็อยากจะล้มลงตรงนี้ให้ได้ เพราะไม่ใช่แค่เจ็บแผลแต่มันปวดไปถึงกระดูกเลย กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง “เธอ ๆ เอ่อ เดือนหนาว” ทว่าเสียงกริ่งจักรยานของคนที่ปั่นตามหลังมาก็ทำให้ฉันต้องหยุดเดิน “อื้ม ไวน์มีอะไรเหรอ” “ให้เราไปส่งป่าว เราจะแวะไปห้องสมุดทางนั้นพอดี” ไวน์บอกยิ้ม ๆ พลางเกาหัวตัวเองไปด้วย ดูเหมือนเขาจะประหม่าเวลาคุยกับฉันสินะ แหงล่ะ ฉันเองก็เหมือนกัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้คุยกับคนที่ไม่รู้จักนานขนาดนี้ “เอางั้นก็ได้ รบกวนด้วยนะ” ฉันตอบกลับก่อนจะเดินไปซ้อนท้ายจักรยานเขา แต่มันก็ยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ฉันได้นั่งจักรยาน “เอ่อ…ไวน์ เราขอจับเสื้อนายได้ป่าว” ฉันถามเมื่อกลัวตกขึ้นมา “อื้ม ได้สิ” “ขอบคุณนะ” จักรยานคันน้อยค่อย ๆ เคลื่อนไปตามถนนที่สองข้างทางเป็นสวนหย่อม แต่เพราะระยะทางระหว่างตึกเรียนของเรามันห่างกันมาก บรรยากาศระหว่างทางเลยเงียบ ๆ เพราะไม่มีใครพูดอะไรออกมา “เอ่อ…ไวน์ เที่ยงนี้นายไปกินข้าวที่ไหนเหรอ” ฉันทำลายความเงียบโดยการชวนเขาคุย อีกอย่างอยากขอบคุณที่เขาช่วยฉันไว้เมื่อวาน แถมวันนี้ยังให้ฉันซ้อนท้ายจักรยานไปตึกคณะอีก “เรากินที่ที่โรงอาหารคณะเราอะ เคยอยากไปกินคณะอื่นเหมือนกัน แต่กลัวเจ้าถิ่นให้กินอย่างอื่นแทนเลยไม่กล้าไป” คำตอบติดตลกของเขาทำให้ฉันอดขำไม่ได้ กลัวเจ้าถิ่นคณะอื่นสินะ “เราอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณนายน่ะ” ฉันบอกคนที่เลี้ยวจักรยานเข้าไปจอดหน้าตึก ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “เราพูดจริงนะ เราอยากขอบคุณนายจริง ๆ” “เฮ้ย ไม่เป็นไรแค่นี้เอง” คนตรงหน้าบ่ายเบี่ยงทั้งที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า จะว่าไปแล้วเขาก็ยิ้มเก่งเหมือนกันนะเนี่ย พูดอะไรออกมาก็มีรอยยิ้มประดับตลอดเลย “นะ ให้เราขอบคุณนายเถอะ เรารู้สึกไม่ดีน่ะที่ไม่ได้ทำอะไรให้นายเลย นายช่วยเราไว้สองครั้งเลยนะ เมื่อวานแล้วก็วันนี้ด้วย แต่ถ้านายกลัวแฟนเข้าใจผิด นายชวนเขาไปด้วยได้นะ เราก็จะชวนเพื่อนเราไปด้วยเหมือนกัน พาเพื่อนนายไปด้วย” “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เราไม่มีแฟน” คนตรงหน้ารีบบอก “ถ้างั้นเที่ยงตรงเธอว่างไหม มีเรียนหรือเปล่า” “ไม่มี วันนี้มีแค่ช่วงเช้าแล้วก็ว่างยาวเลย” “งั้นเที่ยงตรง เราจะปั่นจักรยานมารับเธอหน้าตึกนะ เธอเดินไปไม่น่าจะไหว” “อื้ม เอางั้นก็ได้” เขาใส่ใจจัง… “ส่วนพวกเพื่อน ๆ ของเธอก็ให้ล่วงหน้าไปก่อนหรือจะตามไปทีหลังก็ได้ เราก็จะบอกเพื่อนเราเหมือนกัน” “โอเค งั้นเอาตามนี้เลย” ฉันพยักหน้าให้เมื่อตกลงกันได้ “งั้นเรากลับแล้วนะ” คนที่คร่อมจักรยานอยู่เอ่ยก่อนจะหันจักรยานกลับไปทางที่เราผ่านมา แต่ว่า… “ไวน์ไม่ไปห้องสมุดเหรอ ตึกอยู่ทางนั้น” ฉันชี้ไปยังตึกถัดไปซึ่งเป็นหอสมุดของมหาวิทยาลัย ก็ก่อนมาเขาบอกว่าจะไปห้องสมุดนี่ “อะ อ๋อ ลืมนะ งั้นเราไปนะ” คนที่วนจักรยานกลับมาหันมายิ้มให้พร้อมกับเกาหัวแก้เก้อไปด้วย ฉันได้แต่ยืนมองแผ่นหลังเขาที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ พร้อมขำให้กับท่าทีของเขา ก่อนจะเดินกระเผลกเข้าไปในตึกคณะ @แชตกลุ่ม เดือนหนาว : ยัยโฟร์แกจะเข้ามอไหม ยัยโฟร์ : ไม่มีเรียนแล้วนี่ หรือให้ไปช่วยหาข้อมูล เดือนหนาว : พอดีฉันจะไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะวิศวะตอนเที่ยงน่ะ แกไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ ยัยโฟร์ : กรี๊ด นี่อย่าบอกนะว่าแกได้แฟนคณะนั้นแล้วอะ ยัยโฟร์ : อร๊าย อร๊าย แบบนี้ต้องกระจายข่าว เดือนหนาว : จะบ้าเหรอ! เดือนหนาว : ฉันแค่จะเลี้ยงข้าวขอบคุณคนที่ช่วยฉันไว้เมื่อวานต่างหากล่ะ ยัยก้อย : ฮั่นแน่ มีอะไรเล่ามาให้หมด! เดือนหนาว : อะไรของพวกแกเนี่ย เดือนหนาว : ฉันแค่อยากขอบคุณเขาเองนะ เมื่อวานเขาช่วยฉัน แล้ววันนี้เขาก็มาส่งฉันที่หน้าตึกอีก ยัยโฟร์ : ง้อวว ฉันว่าแกโดนอาถรรพ์ลานเกียร์เข้าครอบงำแล้วแหละเพื่อนรัก ยัยก้อย : ใช่แน่ ๆ เพื่อนกำลังจะมีผัวเป็นวิศวะแล้วจ้า อร๊าย เดือนหนาว : ฉันไม่คุยกับพวกแกแล้ว ไว้เจอกันที่โรงอาหารนะ มาถึงแล้วบอกด้วย พอคุยกับสองเพื่อนซี้เสร็จฉันก็นั่งฟังอาจารย์อธิบายเรื่องโปร์เจ็คที่จะทำต่อ แต่ไม่รู้ทำไมใบหน้าของไวน์กับรอยยิ้มของเขาถึงเข้ามาในหัว เช้านี้ฉันตั้งใจเรียนมากแค่ไหนแต่ก็ไม่มีอะไรเข้าหัวเลย รอยยิ้มบนใบหน้าทะเล้นนั่นกวนใจฉันไม่เลิก ไหนจะน้ำเสียงสดใสของเขาก็ดังก้องหูอยู่ตลอด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD